Apple Cider Vinegar สุดยอดตัวช่วยลดความอ้วน

Apple Cider Vinegar ประกอบไปด้วยธาตุอาหาร วิตามิน กรดอะมิโน และสารเพ็คติน ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย

ผลไม้ 5 ประเภท ที่ช่วยคุณลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี

ผลไม้ทั้ง 5 ประเภท มีส่วนช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยลดความอ้วนโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกาย

เคล็ดลับลดความอ้วนของชาวญี่ปุ่น

ทำไมคนญี่ปุ่นมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าประเทศอื่นๆ และหญิงชาวญี่ปุ่นยังดูเด็กกว่าวัย?

10 ผักและผลไม้ลดความอ้วน

ในโลกของเรามีผักและผลไม้มากมายหลายชนิดที่นิยมรับประทานระหว่างลดความอ้วน โดยเฉพาะผักและผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้...

3 หลักลดความอ้วน ที่คุณเริ่มได้ด้วยตนเอง

เชื่อได้ว่าทุกคนรู้หลักในการลดความอ้วนดีอยู่แล้ว คือ กินให้น้อยและออกกำลังกายให้มาก อาจฟังดูง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ผู้ที่ชนะใจตนเองเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในการลดความอ้วน เพราะทุกอย่างเริ่มที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ฉะนั้นต่อให้คุณรู้เคล็ดลับสุดยอดในการลดความอ้วนฉันใด แต่คุณไม่รู้เคล็ดลับชนะใจตนเองฉันนั้น คุณก็ไม่อาจลดความอ้วนได้สำเร็จ

21 สิงหาคม 2556

ลดความอ้วนด้วยการกินแต่ผลไม้

แตงโมผักนั้นอาจจะมีรสชาติที่จืดชืดและไม่อร่อยสำหรับใครหลายๆคนยิ่งเมื่อไม่นำไปปรุงรสชาติให้ดีขึ้น เช่น ทำเป็นสลัดผัก หรือนำไปทำเป็นเครื่องเคียงประกอบอาหารจานหลัก แต่สำหรับผลไม้นั้นเราสามารถกินเปล่าๆ ได้โดยที่ไม่ต้องนำไปปรุงกับอะไรเลย อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากมีวิตามินเยอะ แต่ผลไม้บางชนิดก็มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะผลไม้สุก ไม้ว่าจะเป็น มะมวง มะละกอ ซึ่งผลไม้เหล่านี้เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน แต่ความหวานในผลไม้ยังให้ปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าขนมหรือของหวานอยู่มาก
 
แม้ว่าการกินผลไม้จะเป็นวิธีการลดความอ้วนที่ได้ผล แต่เราก็ควรเลือกชนิดของผลไม้ให้เหมาะสม โดยการพิจารณาจากปริมาณน้ำตาลในผลไม้ หรือแป้งที่ผสมอยู่ในผลไม้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การกินผลไม้ลดความอ้วนย่อมให้ผลดีต่อร่างกายแน่นอน
 
1. ฝรั่ง
ผลไม้ราคาถูก หาซื้อหาย และมีปริมาณวิตามินซีสูง รสชาติอร่อย เหมาะเป็นผลไม้กินระหว่างลดความอ้วน ฝรั่ง 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 240 กิโลแคลอรี่เท่านั้น
 
2. แตงโม
บางคนอาจจะกลัวการกินแตงโมเพื่อการลดความอ้วน เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างจะให้รสหวาน แต่ในความเป็นจริงนั้น แตงโมเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่น้อย แตงโม 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานเพียง 60 กิโลแคลอรี่เท่านั้น ซึ่งแตงโมลูกใหญ่ ก็จะหนักประมาณ 2 กิโลกรัม

สาเหตุที่แตงโมเป็นผลไม้ที่สามารถใช้ลดความอ้วนได้ดี ก็เพราะเป็นผลไม้ที่มีน้ำมาก ประมาณ 97% ของส่วนประกอบทั้งหมด แต่ก็มีข้อเสียก็คือทำให้หิวเร็ว และปัสสาวะบ่อยๆ

3. ส้ม
คนไทยเรามักจะคุ้นเคยกับผลไม้ประเภทส้มเป็นอย่างดี และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบการกินส้ม ทั้งชนิดที่เป็นผลสด และน้ำส้มคั้น ซึ่งการกินส้มให้ได้ประโยชน์จริงๆ ควรกินทั้งกาก เพราะจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย แม้ส้มจะมีรสชาติอร่อยแต่ก็ถือเป็นผลไม้ที่มีความหวานพอสมควร ส้ม 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 340 กิโลแคลอรี่ ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากสักหน่อยสำหรับการลดความอ้วน ฉะนั้นถ้าเราเลือกส้มเป็นผลไม้ที่กิน เพื่อลดความอ้วน ก็ไม่ควรกินเกินวันละ 2 กิโลกรัม

4. ชมพู่
ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์ก็มีรสชาติ และความหวานอร่อยที่แตกต่างกันออกไป ในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก แน่นอนว่า เราจะต้องเลือกชมพู่พันธุ์ที่หวานน้อยที่สุด เพื่อที่จะให้พลังงานน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ

ชมพู่ที่หวานไม่มากไม่น้อยจนเกินไป 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 120 กิโลแคลลอรี่ แต่ไม่ควรกินเกินวันละ 6 กิโลกรัม

5. ผลไม้อื่นๆ
ความจริงก็ยังมีผลไม้ชนิดอื่นที่กินลดความอ้วนเหมือนกัน แม้ว่าผลไม้ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จะเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างจะให้พลังงานสูง แต่เราก็สามารถจะนำมากินได้ในปริมาณที่พอดี เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของการลดความอ้วนโดยไม่อดอาหาร เพียงแต่ต้องควบคุมปริมาณอาหารทุกประเภทไม่ให้มากเกินไป เช่นเดียวกับการกินผลไม้ลดความอ้วน

ผลไม้ที่จะยกมากล่าวในข้อ 5 ก็คือ "กล้วย"
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่ต่างๆเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงนอกจากให้พลังงานแล้ว ยังให้สารอาหารอื่นๆกับร่างกายของเราอีกด้วย

11 ท่าบริหารร่างกายก่อนและหลังวิ่ง

การบริหารร่างกายหรือวอร์มอัพก่อนออกกำลังที่ทั้ง 11 ท่านี้ เป็นท่าที่ช่วยป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้ออักเสพ เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายโดยการวิ่ง  ซึ่งสามาถทำได้ทั้งก่อนและหลังวิ่ง

1. ท่าบริหารคอ
ก้มให้คางจรดหน้าอก หงายศีรษะไปข้างหลัง หมุนศีรษะไปทางซ้าย แล้วค้างไว้ 20 วินาที สลับไปทางขวา แล้วเอียงศีรษะไปซ้ายและขวาจนรู้สึกตึงๆ จากนั้นทำทั้งหมดต่อเนื่องกันเป็นวงกลมช้าๆ

2. ท่าบริหารแขนและไหล่
เหวี่ยงแขนไปข้างหน้าช้าๆ ชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วหมุนไปข้างหลังให้เป็นวงกลม ทำสลับกันไป

3. ท่าบริหารไหล่ หลัง และ เอว
ยืนเท้าห่างระดับไหล่ กางแขนแล้วหมุนตัวไปทางซ้ายจนรู้สึกตึง ตามองปลายนิ้วซ้าย ค้าง 20 วินาที ทำสลับซ้ายขวา

4. ท่าบริหารหลัง - เอว -สะโพก
ยืนเท้าห่างระดับไหล่ มือเท้าสะเอวเอียงตัวทางซ้ายจนรู้สึกตึง ค้าง 20 วินาที สลับทำไปทางขวา

5. ท่าบริหารหลัง - สะโพก - ต้นขาด้านหน้า
แยกเท้าห่างกันให้มากที่สุด ย่อเข่าซ้ายพร้อมเอี้ยวตัวเอาข้อศอกซ้ายวางบนขาซ้าย ให้ขาขวาตึง แล้วย่อเข่าซ้ายลงจนรู้สึกตึง ค้าง 20 วินาที สลับทำทางขวา

ท่าวอม
 
 
6. ท่าบริหารหลัง - สะโพก - ต้นขาด้านหน้า
ยืนเท้าห่างกันระดับไหล่ ก้มตัวไปข้างหน้าช้าๆจนรู้สึกตึงที่ต้นขาด้านหลัง ให้กล้ามเนื้อคอและแขนคลายตัว ค้าง 20 วินาที

7. ท่าบริหารหลัง - ขา
ยืนเท้าห่างกันระดับไหล่ มือประสานกัน ชูขึ้นเหนือศรีษะ แอ่นตัวไปข้างหลังจนรู้สึกตึง ค้างไว้ 20 วินาที ก้มตัวมาข้างหน้าจนรู้สึกตึง ค้าง 20 วินาที
 
8. ท่าบริหารเข่า - ต้นขาด้านหน้า
ยืนห่างที่เกาะเพื่อไม่ให้เสียหลัก งอเข่าซ้ายลง ให้มือขวาจับปลายเท้าซ้าย ดึงเข้าหาตัว ค้าง 20 วินาที สลับทำทางขวา
 
9. ท่าบริหารหลัง - สะโพก - ขา
หาโต๊ะ/เก้าอีเสูงระดับเข่า วางส้นเท้าพาดำว้ด้านหน้า ก้มตัวไปข้างหน้าจนรู้สึกถึงเอื้อมมือไปจับที่หน้าแข้งจนถึงปลายเท้าเท่าที่สามารถทำได้ค้าง 20 วินาที หมุนปลายเท้าที่อยู่พื้นไปตั้งฉากกับขาข้างที่ยกแล้วเอี้ยวตัวไปหาเท้าข้างที่พาดจนรู้สึกตึงค้าง 20 วินาที เอี้ยวตัวมาด้านตรงข้ามจนรู้สึกตึง สลับทำอีกข้าง
 
10. ท่าบริหารหลัง - สะโพก - ต้นขา - เข่า
สองมือยันผนังที่มั่นคง ยืนห่างจากผนัก 1 เมตร ก้าวเท้าขวาถอย 1 ก้าว โน้มตัวลงพื้นจนรู้สึกตึงที่หลัง น่องและเอ็นร้อยหวายขวา ค้าง 20 วินาที สลับทำอีกข้าง
 
11. ท่าบริหารเอ็นร้อยหวาย - น่อง - หลัง
ยืนตรง งอเข่าขวาขึ้นมา เอามือสองข้างจับเข่า ดึงชิดออก ค้าง 15 วินาที ทำสลับข้าง
 
 
ท่าวอม

12 สิงหาคม 2556

ลดความอ้วนไม่ต้องอด แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม


 1. ปรับตารางการกินใหม่
หลังจากตื่นนอน คุณต้องกินอะไรบ้าง ถ้าไม่ชอบกินอาหารเช้ามื้อใหญ่ ๆ จะกินเป็นผลไม้ ซีเรียล หรือนมสักแก้วก็ยังดี เวลาอาหารกลางวันควรอยู่ในช่วง 4-5 ชั่วโมงหลังจากอาหารเช้า และมื้อนี้ควรจะประกอบด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ถ้ากว่าจะกลับถึงบ้านและได้กินมื้อเย็นก็ดึกแล้ว คุณอาจกินขนมปังสักแผ่น หรือถั่วสัก 10 เม็ดในช่วงบ่าย ๆ พอถึงบ้านให้ดื่มนมถั่วเหลืองสักแก้ว ก็โอเคแล้ว
 
2. จัดอาหารในจานสักหน่อย
อาหารจานหนึ่งควรมีสีเขียวจากผักสักครึ่งจาน จะเป็นสลัด ผัดผัก หรืออะไรก็ได้ที่มีผัก และที่เหลือก็ควรเป็นพื้นที่ของแป้งและข้าวกับเนื้อสัตว์ในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง
ถ้าไม่อยากวุ่นวายกับการจัดจาน ก็กินสลัดสักชามหรือผลไม้น้ำตาลต่ำสักลูก ก่อนกินมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นก็ได้
 
3. คิดสักหน่อยก่อนกิน
ลด ละ เลิกของหวานสารพัดชนิด โดยเฉพาะเครื่องดื่มหวานๆ เช่น น้ำอัดลม หันมาดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้วใหญ่ ๆ ก่อนมื้ออาหารทุกมื้อดีที่สุด
ลดความอ้วน 
4. เปลี่ยนประเภทคาร์โบไฮเดรต
คุณต้องเลือกกินคาโบไฮเดรทให้เป็น เช่น เปลี่ยนจากกินข้าวขาว มาเป็นกินข้าวกล้อง เพราะไฟเบอร์ที่มากขึ้นจะช่วยให้คุณอิ่มนานขึ้น ถ้าคุณไม่ชอบกินก็ให้ลดปริมาณลง
 
5. ลดปริมาณเครื่องปรุงลง
แค่คุณกินผลไม้โดยไม่จิ้มน้ำจิ้ม ลดปริมาณน้ำสลัด หรือไม่ปรุงอาหารเพิ่ม แคลอรี่ที่ได้รับก็จะลดลงไปอย่างที่คุณนึกไม่ถึง และน้ำหนักอาจลดลงถึงครึ่งกิโลกรัม ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์

6. ลดน้ำหนัก…ลดเกลือ
ไม่ใช่แค่น้ำตาลที่ทำให้อ้วน เกลือก็มีผลเหมือนกัน! กินเค็มจัดๆ จะเกิดการบวมน้ำได้ง่าย ดังนั้น ลดอ้วนต้องลดเค็มด้วย
 
7. กินไขมันแต่พอดีเท่านั้น
ถ้างดกินไขมันเลย คุณจะหิวตลอดเวลา กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ดังนั้น วันหนึ่ง ๆ คุณควรกินไขมันบ้าง เน้นเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัว (ไขมันดี) อย่างเช่น น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ หรืออะโวคาโด ¼ ผล หรือถ้าอยากกินชีสก็ยังพอกินได้ แต่ไม่ควรเกินวันละ 30 กรัม
 
8. เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
กินโปรตีนไขมันต่ำให้ติดเป็นนิสัย โดยเฉพาะเนื้อปลาและเนื้อไก่ (ลอกหนังออก) เน้นแบบที่ปรุงด้วยการนึ่งและการย่างเก็บการปรุงแบบทอดไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย
จำกัดปริมาณการกินเนื้อแดง เหลือเพียงไม่เกินสองครั้งต่อสัปดาห์ และขนาดของเนื้อก็ไม่ควรใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนมากนัก
 
9. กินข้าวนอกบ้านก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม
หากวันไหนจะมีปาร์ตี้ ก็แค่เตรียมตัวให้พร้อม ดื่มน้ำสักแก้วกินผลไม้สักลูก หรือถั่วสักกำมือ ให้มีอะไรรองท้องสักหน่อย รับรองว่าคุณจะลดความอยาก และมีสติในการสั่งอาหารมากขึ้นอีกเยอะ
เตรียมเรื่องไปเม้าท์เยอะ ๆ เพราะการพูดคุยระหว่างมื้ออาหารจะทำให้คุณอิ่มเร็วขึ้นและกินได้น้อยลง ซึ่งนั่นหมายถึงแคลอรี่ที่ลดลงด้วย
 
10. ออกกำลังกายบ้างนะ
ถ้าคุณไม่ออกกำลังกายเลย น้ำหนักจะลดลงก็จริง แต่หุ่นคุณก็ไม่เฟิร์มและกระชับ ดังนั้น สละเวลาสักวันละ 30 นาทีให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียดซะบ้าง
 

06 สิงหาคม 2556

มะละกอ ผลไม้ลดความอ้วน


มะละกอ Papaya ลดความอ้วนมะละกอเป็นผลไม้ที่มีวิตามินหลายชนิด นอกจากกินสดๆแล้ว ยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ด้วย  เช่น ส้มตำ และ แกงส้มใส่มะละกอ และประโยชน์หลักๆของมะละกอที่รู้จักกันดี คือ ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย กำจัดไขมันต่างในร่างกาย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่จะช่วยย่อยโปรตีนและย่อยอาหาร เมื่อร่างกายย่อยอาหารและขับถ่ายได้ดี จึงช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่ง
 
ในด้านผิวพรรณ ความงาม มะละกอก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง หากกินเป็นประจำทุกวันจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ แม้ข้อเสียของมะละกอ คือ ความหวาน เพราะมีปริมาณน้ำตาลสูง แต่ในทางกลับกัน มะละกอกลับมีไขมันน้อยมาก จนเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเราจึงกินมะละกอระหว่างลดความอ้วนได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบผลไม้รสหวาน อาจจะไม่ชอบกินมะละกอเท่าใดนัก
 
นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่คนลดความอ้วน ชอบกินมะละกอ เพราะ มะละกอหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และเมื่อแช่เย็นนั้นก็จะเพิ่มความอร่อยขึ้นเป็นอย่างมาก ยิ่งคนที่กำลังลดความอ้วนแต่อยากกินของหวานๆ มะละกอนี่แหละจะเป็นตัวช่วยให้คุณได้อย่างดี

วิธีทำสลัดมะละกอ
  1. มะละกอ 1 ลูก นำเมล็ดออก ปอกเปลืก และหั่น
  2. มะม่วง 1 ลูก นำเมล็ดออก ปอกเปลือก และหั่น
  3. สับปะรด ปอกเปลือก และหั่น 2 ชิ้น
  4. เสาวรส 2 ลูก ตักเอาแต่เนื้อ น้ำส้มคั้น 2 ช้อนโต๊ะ
  5. นำเครื่องปรุงทั้ง 3 อย่างแรกใส่ชาม
  6. นำเนื้อเสาวรสที่ผสมกับน้ำส้ม ราดบนสลัด คลุกเคล้าให้ทั่ว
หมายเหตุ : ปริมาณส่วนประกอบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแค่ละคน

25 กรกฎาคม 2556

แอปเปิ้ล ผลไม้ลดความอ้วน


แอปเปิ้ล ผลไม้ลดน้ำหนักแอปเปิ้ล (Apple) จัดเป็นผลไม้ลดความอ้วน/ลดน้ำหนักยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก  ผลของแอปเปิ้ลจะมีหลายสี อาทิ แอปเปิ้ลแดง แอปเปิ้ลเขียว และแอปเปิ้ลเหลือง ซึ่งสีของแอปเปิ้ลจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของมัน

คุณค่าทางโภชนาการของแอปเปิ้ล
ถ้ากินโดยไม่ปอกเปลือก แอปเปิ้ลจะให้พลังงานประมาณ 80 แคลอรี  อีกทั้งยังประกอบได้ด้วยเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุและวิตามินอีกหลายชนิด เช่น
  • วิตามินบี6 ประมาณ 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี ประมาณ 7.9 มิลลิกรัม 
  • ธาตุเหล็ก ประมาณ 0.2 มิลลิกรัม
  • ทองแดง ประมาณ 0.1 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม ประมาณ 158.7 มิลลิกรัม

เส้นใยหรือไฟเบอร์ที่มีอยู่ในแอปเปิ้ล จะเป็นเส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้ เรียกว่า เพคติน ที่ประกอบด้วยกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนี้ยังพบสรรพคุณที่ช่วยบำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส
 
การกินแอปเปิ้ลให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดจึงควรกินทั้งเปลือก เพราะถ้าหากกินโดยปอกเปลือกปริมาณเส้นใยและสารเหล่านี้ก็จะลดลงไปด้วย

ทำไมจึงกินแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน
เนื่องจากในแอปเปิ้ลมีคาโบร์ไฮเดรตและน้ำตาลถึง 75%  ซึ่งน้ำตาลในแอปเปิ้ลเป็นโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง แต่แอปเปิ้ลสดเท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้
 
แอปเปิ้ลผลไม้ลดน้ำหนัก
จุดเด่นของแอปเปิ้ล แบ่งตามสี
  1. แอปเปิ้ลแดง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด ให้พลังงานสูง มีรสหวาน
  2. แอปเปิ้ลเขียว มีรสอมเปรี้ยว นิยมกินในช่วงลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน เพราะมีปริมาณน้ำตาลน้อย จึงช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี
  3. แอปเปิ้ลเหลือง มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ เพราะมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก
 
หากให้วิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่างๆเปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง จะพบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ

18 กรกฎาคม 2556

กาแฟกับการลดน้ำหนัก

coffee diet, กาแฟลดน้ำหนัก
วิธีลดน้ำหนักในปัจจุบันมีอยู่หลากหลายวิธี ตั้งแต่การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักด้วยการกินผักและผลไม้ หรือลดน้ำหนักโดยการรับประทานผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆที่มีอยู่มากมายตามท้องตลาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กาแฟลดน้ำหนัก” ที่เป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากลดน้ำหนัก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก และประหยัด อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบสำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว
 
กาแฟกับการลดน้ำหนัก
กาแฟปกติทั่วไป ก็จะมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันในตัวเองอยู่แล้ว แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้คุณผอมขึ้นในทันทีทันใด แต่ปัจจุบันผู้ผลิตอาหารลดน้ำหนักต่างพยายามใส่ส่วนผสมเข้าไป อาทิ สมุนไพรต่างๆที่มีสรรพคุณในการเพิ่มการเผาผลาญเพื่อให้กาแฟเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญให้ได้มากที่สุด หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นก็จะเป็นสารที่มีสรรพคุณเป็นยาลดความอ้วน เช่น สารไซบูทรามีน

วิธีการสังเกตว่ากาแฟลดน้ำหนักที่กินอยู่แอบผสม สารไซบูทรามีน เข้าไปด้วยหรือไม่ ให้ดูจากสรรพคุณข้างกล่องที่ฟังดูแล้วเกินจริง และอาการภายหลังกินเข้าไป คือ มีอาการใจสั่นมาก  รู้สึกหวิวๆ ไม่สบาย ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการเหล่านี้จะหนักกว่าการกินกาแฟปกติทั่วๆไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที

สารไซบูทรามีน คืออะไร
คือสารที่เป็นส่วนประกอบของยาลดความอ้วน ที่ตอนนี้องค์การอาหารและยา ได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือ รีดัคทิล (Reductil)

แต่อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงกาแฟปกติทั่วไปที่ไม่ใช่กาแฟลดน้ำหนัก การดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว
 
ข้อดีของการดื่มกาแฟเป็นประจำ (กาแฟปกติทั่วไป)
  1. ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
  2. ช่วยป้องกันโรคหอบซึ่งเป็นอาการของภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง
  3. ช่วยลดการเกิดโรคตับจากสุรา
  4. ช่วยป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก เพราะกาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้น โดยเฉพาะในคาเฟอีนที่มีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรค
  5. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยกาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ
  6. ช่วยละลายไขมัน เพราะกาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้
  7. กาแฟเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
  8. ช่วยแก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้
  9. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น
  10. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่ม กาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีน ในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ

16 มิถุนายน 2556

กินโยเกิร์ต ช่วยหน้าท้อง/ลดพุง

Yogurt, โยเกิร์ตการที่ผู้หญิงมีหน้าท้องกันส่วนใหญ่นั้น ต้องพิจารณาดูก่อนว่า แต่ละคนมีสาเหตุจากอะไร หากเกิดจากความอ้วน หน้าท้องจะยื่นตั้งแต่เหนือสะดือลงมาจนถึงท้องน้อย และส่วนอื่นๆของร่างกายก็จะใหญ่ตามไปด้วย แต่คนที่มีปัญหาหน้าท้องที่เกิดจากอาการท้องอืด คือ ท้องน้อยจะยื่นออกมานั้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ สามารถลดหน้าท้องได้ด้วยการรับประทานโยเกิร์ต

โยเกิร์ต (Yogurt) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งเกิดจากการหมักระหว่างนมและโปรไบโอติกส์ หรือแบคทีเรียชนิดดี ที่ยังมีชีวิต เมื่อเรากินเข้าไป แบคทีเรียเหล่านี้ก็จะไปสร้างความสมดุลให้จุลินทรีย์เจ้าถิ่นในลำไส้ ผลก็คือระบบขับถ่ายและสุขภาพโดยรวมของเราจะดีขึ้นนั่นเอง

ในโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ 1 ถ้วย มีแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีสารอาหารมากถึง 11 ชนิด ได้แก่ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามิน บี 12 ทริปโทฟาน โปตัสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี วิตามิน บี 5

จากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้หญิงที่กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแบคทีเรียทีมีอยู่ในอาหารประเภทโยเกิร์ต จะสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะแบคทีเรียซึ่งพบในอาหารจำพวกนี้จะช่วยสลายน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต ทำให้ร่างกายไม่สะสมพวกแป้งและน้ำตาลไว้ในรูปไขมัน ทำให้ร่างกายย่อยสลายและขับถ่ายมันออกมา ซึ่งช่วยได้ดีสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าท้องซึ่งเกิดจากอาการท้องอืด เพราะขับถ่ายไม่เป็นปกติ
 
สูตรการทานโยเกิร์ต ที่คนส่วนใหญ่นิยม
  1. โยเกิตรสธรรมชาติ ครึ่งถ้วย
  2. นมสด  1  แก้ว 
  3. น้ำผึ้ง   1 - 2   ช้อนโต๊ะ
  4. มะนาวครึ่งลูก
หมายเหตุ : สูตรนี้ไม่ตายตัว   คุณสามารถปรับส่วนผสมได้ตามรสชาติที่คุณชอบ

สูตรลดน้ำหนัก 3 - 6 กิโล ในสองอาทิตย์

หลายคนคงเคยพูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า "ฉันจะผอมให้ได้" แต่พออดหรือคุมอาหารได้สักพักก็ตบะแตกแล้วกลับมากินแหลกเหมือนเดิม ทำยังไง๊ ยังไง ก็ลดไม่ได้สักที มีแต่เพิ่มเอาๆ วันนี้เราจึงขอนำเสนอสูตรอาหารที่ช่วยคุณลดน้ำหนัก 3 - 6 กิโลกรัม ภายในเวลาสองอาทิตย์ โดยสูตรนี้สามารถใช้ได้ตลอด คุณจะกินแบบนี้ไปสักเดือนก็ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

สูตรลดน้ำหนักภายในสองอาทิตย์ที่ว่านี้ จะแบ่งเมนูอาหารเป็น  5 มื้ออาหาร โดยจะมีรายการอาหารที่ให้คุณรับประทานในแต่ละมื้อ ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่ทำให้อ้วนขึ้นแต่อย่างใด

 

มื้อเช้า
ตลอดช่วงเวลาที่คุณลดน้ำหนักนี้ ขอให้กินมื้อเช้าเป็นผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้ เพราะเป็นอาหารที่ย่อยได้ง่ายที่สุด ทั้งยังมีไฟเบอร์เยอะจึงช่วยให้คุณอิ่มนานและดีต่อการลดน้ำหนัก

มื้อสาย
การกินผักและผลไม้ในตอนเช้า อาจทำให้คุณรู้สึกหิวในช่วงสายๆ สุดท้ายก็จะทนไม่ได้ แล้วก็กินหนักในมื้อกลางวัน ดังนั้น พอสายๆ ให้คุณหาอะไรลองท้องอีกซักหน่อย โดยยังคงเป็นผักและผลไม้เช่นเดิม ในที่นี้ขอแนะนำให้คุณกิน "กล้วย" ซึ่งจะช่วยคลายความอยากอาหารลงได้และกล้วยยังเป็นผลไม้ลดน้ำหนักยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง

มื้อเที่ยง
ให้กินขนมปังโฮลวีทสักแผ่น หรือข้าวกล้อง กับรายการอาหารต่อไปนี้หนึ่งอย่าง และสลัดผักสักถ้วย
  1. เกาเหลาเนื้อ/ไก่/ลูกชิ้นหมู
  2. แกงเลียงกุ้งสด
  3. ต้มยำปลาน้ำใส
  4. แกงส้มปลา
  5. แกงจืดตำลึงเต้าหู้หมูสับ

มื้อบ่าย
การกินอะไรสักหน่อยทุก 2-3 ชั่วโมง นอกจากจะทำให้เราไม่รู้สึกหิวมากจนกินไม่หยุดในมื้อถัดไปแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการเผาผลาญตลอดทั้งวัน และลดน้ำหนักได้มากขึ้น แต่ช่วงบ่ายๆ อย่างนี้กินอะไรหนักท้องเกินไปก็ไม่ดี อาจจะเป็นขนมกินเล่นที่ไม่หวานซักถุงก็ได้

มื้อเย็น
หลัง 6 โมงเย็นเป็นต้นไป อย่าได้ยอมให้คาร์โบไฮเดรตทุกประเภทเข้าสู่ร่างกายคุณเป็นอันขาด เว้นเสียแต่หลังอาหารเย็น คุณจะออกกำลังกายอย่างหนัก ชนิดที่มั่นใจว่าเผาผลาญพลังงานที่คุณกินเข้าไปจนหมดเท่านั้น ถ้าต้องกินขอให้กินอาหารประเภทปลา เช่น ปลานึ่ง

เคล็ดลับลดน้ำหนัก
  1. ควรออกกำลังให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน ยิ่งถ้าออกกำลังตอนเช้า ไขมันของคุณจะถูกเผาผลาญได้ดี
  2. ดื่มน้ำเปล่าทุกสองถึงสามชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่เก็บสะสมไว้ได้ดียิ่งขึ้น

10 มิถุนายน 2556

มื้อเย็น กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

Diet มื้อเย็นการอดอาหาร คือ การลดน้ำหนักที่ผิดวิธี โดยเฉพาะการงดอาหารมื้อเย็น การลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพนั้น เราไม่ควรที่จะอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่ควรรับประทานแต่พอดี ไม่มากเกินไป ทีนี้เรามาดูความจำเป็นของอาหารเย็นที่มีต่อร่างกายกันดีกว่าว่ามีมากน้อยเพียงใด และเหตุใดมื้อเย็นจึงเป็นมื้อสำคัญที่ไม่ควรงดเด็ดขาด

เหตุผลอันดับแรกเลยก็คือ การอดอาหารมื้อเย็นนอกจากจะทำให้คุณหิวแล้ว ยังไม่ทำให้น้ำหนักลด แถมยังสร้างความกวนใจในยามค่ำคืนอีกต่างหาก เนื่องจากเมื่อถึงเวลาอาหาร ร่างกายจะหลั่งกรดออกมาเพื่อทำการย่อยอาหาร ดังนั้น เมื่อไม่มีอาหารในกระเพาะ น้ำย่อยก็จะมาย่อยกระเพาะแทน คนที่อดการหารเย็นจึงมีปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากความหิว บางคนอาจทนไม่ไหวจนลุกขึ้นมาหาอะไรกินกลางดึก ซึ่งแทนที่จะผอมลงแต่กลับอ้วนขึ้นมาอีกเป็นกอง เราจึงควรเลือกลดอาหารมากกว่าการอดอาหาร

วิธีการเลือกทานอาหารทำได้โดย เลือกทานอาหารเบา หรืออาหารที่ให้พลังงานน้อยที่สุด อย่างเช่น เน้นผักและผลไม้ และเวลาที่ควรทานคือหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม อย่าทานดึกกว่านี้ และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด ได้แก่ ของทอด ของมัน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ถ้าต้องทานควรทานในปริมาณเล็กน้อย และต้องคำนึงถึงสารอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่ด้วยนะคะ

สำหรับบางคนที่ต้องการเน้นกินผักหรือผลไม้ในมื้อเย็นเพื่อลดความอ้วนจะต้องไม่เลือกผลไม้ที่เป็นกรด เพราะขณะท้องว่างร่างกายจะมีกรดมากอยู่แล้ว และหลีกเลี่ยงการทานผักหรือผลไม้ดิบขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้ท้องอืดได้ แนะนำว่าให้ทานผักสุก เช่น การลวก การต้ม แกงจืด หรือยำที่รสชาติไม่จัดมาก เช่น ยำแตงกวา ยำวุ้นเส้น ส้มตำ ที่ไม่เผ็ดหรือ เปรี้ยวเกินไป

อย่าคิดว่าอาหารมื้อเย็นไม่สำคัญนะคะ ควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับการเลือกทานมื้อเย็นให้มาก แต่ต้องทานแค่พอเหมาะไม่ทานจุเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้วยังมีอีกหลายโรคตามมาจากการทานอาหารมื้อเย็นที่ ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ นอกจากนี้แล้วยังส่งผลถึงคุณภาพการนอนอีกด้วย เพราะการทนหิวระหว่างนอนไม่ใช่เรื่องดี

และคำแนะนำสุดท้าย หลังทานอาหารเย็นไม่ควรออกกำลังกายทันที เพราะถ้าเราทานอาหารภายในเวลา 1-2 ช.ม. แล้วไปออกกำลังกายทันที อาจทำให้เราเกิดอาการจุกได้ ถ้าเป็นไปได้ควรเดินเรื่อย ๆ ไม่ต้องเร่ง เพราะเวลาเราเดินลำไส้จะมีการขยับตัว อาหารก็จะย่อยง่ายและยังเป็นการใช้พลังงานไปในตัวอีกด้วย เป็นแนวทางที่ดีในการปฏิบัติจะได้ไม่อ้วน

09 มิถุนายน 2556

แก้วมังกร ผลไม้ลดความอ้วน

แก้วมังกรแก้วมังกร (Dragon Fruit) เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายหลายชนิด อาทิ แคโรทีน (Carotene) สารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่ช่วยในเรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติช่วยลดเซลลูไลท์ (Cellulite) ในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการลดความอ้วน
 
แก้วมังกรมี 2 ชนิดคือ พันธ์ทีมีเนื้อสีขาว และพันธ์ที่มีเนื้อสีแดง แต่สีแดงจะมีรสหวานกว่าสีขาว ปัจจุบันแก้วมังกร (Dragon Fruit) กลายเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้กินเพื่อลดความอ้วน นั้นก็เพราะ ในแก้วมังกรเป็นมีปริมาณกากใยสูง และมีสารอาหารหลายชนิด อาทิ แคโรทีน (Carotene) วิตามินซี คลอโรฟิลล์ สารต้านอนุมูลอิสระ  สารที่ช่วยในเรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เป็นต้น
 
แก้วมังกร 100 กรัม ให้พลังงาน 59 kcal และมีปริมาณน้ำสูงถึง 85.38% แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อการลดความอ้วนโดยตรงก็คือ เซลลูโลส (Cellulose) ในแก้วมังกร ที่สามารถช่วยลดความอยากอาหารลงได้ เพราะคุณจะรู้สึกอิ่มเมื่อรับประทาน นอกจากนั้นปริมาณกากใยที่มีมาก ยังช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารและการขับถ่ายของเสียในร่างกายอีกด้วย ฉะนั้นหากคุณสาวๆต้องการผลไม้กินระหว่างลดความอ้วน แก้วมังกร ก็ถือเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี
  
แก้วมังกรวิธีกินแก้วมังกร
ทำได้โดยผ่าครึ่งลอกเปลือกออก หรือจะนำไปทำเป็นเครื่อง ดื่ม ใส่สลัด เสิร์ฟคู่ไอศกรีม หรือขนมหวาน แต่การกินแก้วมังกรให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ต้องเคี้ยวเม็ดดำๆในแก้วมังกรให้ละเอียด เพราะเม็ดในแก้วมังกรเป็นที่รวมสารต้านอนุมูลอิสระเอาไว้สูงมาก รวมทั้งวิตามินอีด้วย ถ้าเราเคี้ยวเม็ดให้ละเอียดจะช่วยให้สารอาหารเหล่านี้แตกตัวได้เร็วขึ้น และร่างกายจะได้ดูดซึมไปใช้ได้มากขึ้นด้วย
 
วิธีทำ น้ำแก้วมังกรปั่น
1. นำแก้วมังกรที่แช่จนเย็นได้ที่แล้วมาผ่าครึ่งผลตามแนวยาว ลอกเปลือกออก และหั่นเนื้อแก้วมังกรเป็นชิ้นเล็กใส่เครื่องปั่น
2. ใส่น้ำส้มคั้น 1 ส่วน 4 ถ้วย, น้ำเชื่อม 1 ส่วน 4 ถ้วย และเกลือ 1 ส่วน 4 ช้อนชา ลงไป และปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนได้ที่ เทใส่แก้วพร้อมดื่มทันที

เครื่องดื่ม 6 ประเภทที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว


เครื่องที่ทำให้อ้วนในชีวิตประจำวัน นอกจากอาหารคาว หวานแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เครื่องดื่มประเภทต่างๆ นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเป็นคนที่อ้วนได้ง่ายๆแล้วละก็ เจ้าเครื่องดื่มตัวฉะกาจพวกนี้เนี่ยแหละที่อาจเป็นสาเหตุความอ้วนของคุณ ดังนั้น เราลองมาดูกันดีกว่าว่า มีเครื่องดื่มอะไรบ้างที่คุณมักดื่มมันเป็นประจำ จนทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว
 
1. เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม 
เครื่องดื่มประเภทนี้ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหารและยามว่าง ของใครหลายๆคน บางคนถึงกับติดน้ำอัดลมเลยทีเดียว แต่จะมีใครรู้ว่างว่า นอกจากปริมาณน้ำตาลที่มากแล้ว ในน้ำอัดลมยังมีปริมาณแคลลอลี่ถึง 120 แคลลอลี่ ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลย แล้วนี่ยังไม่นับกรดคาร์บอนิก สารกันบูด สารแต่งสี แต่งกลิ่นที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายด้วยนะ

2. ชาเย็น นมเย็น โอวัลตินเย็น ช็อกโกแลตเย็น
เครื่องดื่มพวกนี้ ก็จัดเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคนเช่นกัน แต่ถ้าคุณรู้ปริมาณแคลลอลี่ของมันแล้วละก็ คุณอาจจะเลิกชอบมันไปเลย เพราะพวกมันมีปริมาณแคลลอลี่เฉลี่ย 220 - 400 แคลลอลี่ จริงๆแล้วอะไรก็ตามที่มีรสหวานนั้นก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะด้วยน้ำตาล นมข้นหวาน หรืออื่นๆที่ใส่ลงไป ล้วนแต่ทำให้อ้วนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะกับชาที่ชงสดเท่านั้นนะ แต่ยังรวมไปถึงชาที่บรรจุขวดขายตาม 7-11 หรือห้างสรรพสินค้าด้วย

3. นมถั่วเหลือง
สำหรับนมถั่วเหลืองนี้คงมีสาวๆหลายคนที่ไม่คิดว่าจะมีปริมาณแคลลอลี่ที่มาก แต่ในนมถั่วเหลือง 1 แก้ว จะมีปริมาณแคลอลี่ 150 แคลลอลี่ ซึ่งหากดื่มมากๆ ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกัน

4. น้ำผลไม้ปั่น
หากคุณสาวๆ ที่คิดจะดื่มน้ำผลไม้เพื่อรักษาหุ่น ก็คงต้องทบทวนกันใหม่แล้วละค่ะ น้ำผลไม้อาทิ น้ำองุ่น น้ำส้ม น้ำสับปะรด เป็นสามน้ำยอดนิยมที่ให้พลังงานสูงมาก ยิ่งคุณเอามาผลไม้หลายๆอย่างมาปั่นรวมกัน ปริมาณแคลลอลี่ก็ยิ่งมากขึ้น หรือถ้าซื้อแบบที่เขาบรรจุขวดไม่มีเนื้อผลไม้ให้มาด้วย คุณก็จะได้แต่น้ำตาลจนแทบหาประโยชน์อะไรให้สุขภาพไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ว่า คุณจะควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละวันไปด้วย
 
5. กาแฟประเภทต่างๆ
จริงๆแล้วตัวกาแฟเองนั้นมีแคลอรี่ที่น้อยมาก ประมาณ 5 แคลอรี่/8ออนซ์ แต่ด้วยการปรุงแต่งหลายๆ ทั้งใส่น้ำตาล นม ครีม และอื่นๆ แล้ววันๆหนึ่งคุณดื่มไปกี่แก้วกัน? ถึงแม้จะวันละแก้วแต่ในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่เลยนะ

6. เครื่องดื่มชูกำลัง
เครื่องดื่มประเภทนี้ เป็นเครื่องดื่มเฉพาะกลุ่ม แต่ถ้าหากใครที่ดื่มเป็นประจำล่ะก็ โปรดรู้ไว้เภอะว่า เครื่องดื่มชูกำลังนั้นอัดแน่นไปด้วยน้ำตาลและคาเฟอีน จนมีแคลอรี่สูงถึง 110-300 แคลอรี่ และมีน้ำตาลถึง 27-55 กรัม (6-13 ช้อนชา) เลยแหละ
  
เห็นแบบนี้แล้ว คุณๆอาจเกิดคำถามว่า "แล้วนี่ชั้นจะดื่มอะไรได้บ้างเนี่ย?" คำตอบก็ง่ายแสนง่าย "น้ำเปล่าดีที่สุด" และถ้าดื่มน้ำเปล่าก่อนรับประทานอาหาร 45 นาที ยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วยนะ เพราะการดื่มน้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วยนั่นเอง

02 มิถุนายน 2556

"กินเพื่ออยู่ อย่าอยู่เพื่อกิน" คติเตือนใจของคนอยากผอม

การกินเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์จะต้องทำตั้งแต่เกิดจนตาย มันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งของมนุษย์ เพราะถ้าไม่กินก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามีอาหารส่วนเกินมากก็เกิดโรคได้อีกเช่นกัน โดยเฉพาะความอ้วน ดังนั้นคนเราจึงควรกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น คนส่วนใหญ่จะ "กินเพื่ออยู่" และหยุดกินเมื่ออิ่ม แต่บางคนก็ไม่ได้กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่แต่เพียงอย่างเดียว ยังต้องการหาความสุขในระหว่างการกินด้วย จุดมุ่งหมายของการกินจึงเปลี่ยนเป็น “อยู่เพื่อกิน” นั่นเอง
 
แต่ไม่ว่าคุณจะมีพฤติกรรมการกินแบบใด รูปร่างของคุณ คือส่วนสะท้อนพฤติกรรมเหล่านั้น ดังคำพูดที่ว่า "จะอ้วนจะผอมล้วนอยู่ที่ปาก" เพราะความจริงร่างกายมนุษย์ต้องการอาหารไม่มากนัก แค่กินอาหารให้พอดีกับร่างกาย ก็ได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว หากคุณกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายคุณก็ต้องมานั่งปวดใจกับตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก และยังต้องมานั่งหาวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านั้นออกไปอีก ดังนั้นก็จง "กินเพื่ออยู่" น่าจะดีกว่า แม้การบังคับใจตนเองจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
 
 
ภาพประกอบจากกินเตอร์เน็ต
 แต่ในปัจจุบันก็มีเทคนิกการกินหลายรูปแบบ ที่หลักการที่ว่า "กินอย่างไรไม่ให้อ้วน" เช่น วิธีการกินอาหารแบบ Reversal Diet  ซึ่งก็คือ การกินอาหารอย่างสมดุล โดยลดอาหารที่มีไขมันลง และเปลี่ยนมากินอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดตร และโปรตีนที่ได้จากพืชแทน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาเป็น "กินเพื่ออยู่" จึงมีความสำคัญกับคนที่มีความตั้งใจที่จะลดน้ำหนัก เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างหนึ่ง วิธีการหลีกเลี้ยงความอ้วนแบบง่ายๆมีดังนี้
  1. รับประทานผัก ผลไม้มากๆ
  2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอดๆ และติดมัน
  3. ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหาร
  4. ออกกำลังกายสำคัญสุดๆ
  5. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท
  6. อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น
  7. อย่ากินไป ดูทีวีไป
  8. ลดน้ำหวาน ชา , กาแฟ , ครีมเทียม
  9. อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยการไปกินนอกบ้าน
  10. อย่าอดอาหารเด็ดขาด
  11. แบ่งกินเป็นส่วนๆไม่ต้องกินให้หมด
  12. อย่ากินอะไรหลังมื้อเย็นอีก
  13. ดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนนะ
  14. อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ก่อนกินด้วยล่ะ
  15. อย่าลืมชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง

01 มิถุนายน 2556

3 ข้อปฎิบัติในการออกกำลังกายให้ถูกวิธี เพื่อการลดความอ้วนที่ได้ผล

1.เตรียมตัวออกกำลังกาย
ต้องวอมอัพร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง  อาจใช้วิธีเดิน บิดตัวไปมา หรือ ยื่นเส้นยืดสาย โดยปกติแล้วการวอมร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆได้มากขึ้น และเป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
 
2.เริ่มต้นออกกำลังกาย
คนที่เริ่มต้นออกกำลังกายควรใช้วิธีเดินไม่ควรวิ่ง  เนื่องจากการเดินจะทำให้คุณไม่เหนื่อยมาก  และไม่ปวดกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกาย การเดินเหมาะสำหรับคนอ้วน หรือคนที่พึ่งเริ่มออกกำลังกาย  ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังกายสำหรับคนที่ได้เริ่มออกกำลังกายมาซักพักแล้ว  เพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว และทำให้เหนื่อยมาก

ท่าออกกำลังกาย
 
 
เมื่อออกกำลังกายเป็นประจำไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว หากท่านต้องการเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายก็สามารถทำได้  โดยควรเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชอบและสะดวกที่สุด  ทั้งนี้ในการออกกำลังกายครั้งแรกๆไม่ควรที่จะหักโหมมากนัก  โดยสามารถสังเกตอาการขณะออกกำลังกายว่า คุณออกกำลังกายหักโหมไปหรือเปล่า โดยสังเกตจากอาการต่อไปนี้
  1. หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย
  2. หอบ หายใจไม่ทันจนพูดไม่เป็นประโยค
  3. เหนื่อยจนหน้ามืด อยากจะเป็นลม
หากมีอาการดังกล่าว  คุณหยุดการออกกำลังกายอย่างน้อย 1 - 2 วัน  และลดระดับการออกกำลังกายในครั้งต่อไปลง แต่ไม่ควรหยุดออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน เพราะการออกกำลังกายที่ดี ควรออกอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิก
 
3.หลังออกกำลังกาย
อย่าหยุดออกกำลังกายในทันที!!  เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดควรค่อยๆออกกำลังกายโดยผ่อนกำลังลงประมาณ 5 - 10 นาที  จนกระทั่งหัวใจเต้นช้าลงและเต้นเป็นปกติจึงหยุด หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำเพื่อทดน้ำในร่างกายสูญเสียไประหว่างออกกำลังกาย

เมื่อคุณออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
  • ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี  เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้มากขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันต่ำ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคข้อเสื่อม เป็นต้น
  • ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การทรงตัว และทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น
  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยลดความเครียด และทำให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น

26 พฤษภาคม 2556

วิธีลดความอ้วนแบบพื้นบ้านด้วยการกิน "กล้วย" ตอนเช้า


ลดน้ำหนักด้วยกล้วย
กินกล้วยลดความอ้วน
ทำไม "กล้วย" จึงจัดเป็นผลไม้พื้นบ้าน? นั่นก็เพราะ "กล้วย" ถือเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดกับคนไทยมากที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้า นั่นเพราะทุกบ้านมักจะปลูกกล้วยน้ำว้าไว้กินเอง กล้วยน้ำว้าจึงเสมือนเป็นอาหารเสริมประจำที่ไม่ต้องซื้อหาแต่อย่างใด อีกทั้ง "กล้วย' ไม่ว่าจะชนิดใดล้วนมีคุณค่าทางโภชนาการทั้งสิ้น และเป็นผลไม้ที่ราคาไม่แพง

 
ในปัจจุบัน "กล้วย" กำลังเป็นผลไม้ลดน้ำหนักยอดนิยม โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่นิยมกินกล้วยเป็นอาหารเช้า จนมีการเขียนเป็นหนังสือ "Morning Banana Diet" นั่นเพราะกล้วยเป็นผลไม้แก้หิวที่กินแล้วอิ่มท้อง ช่วยการขับถ่าย และไม่ทำให้อ้วนขึ้นแต่อย่างใด
 
ในปี 2007 กระทรวงการคลังของญี่ปุ่นนำเข้ากล้วยน้ำว้าถึง 970,000 ตัน ส่วนใหญ่มาจากประเทศไต้หวันและประเทศฟิลิปปินส์ ในตอนนั้นราคากล้วยในประเทศญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20% นั่นเป็นผลมาจากการขาดแคลนกล้วย ที่กลายเป็นอาหารแฟชั่นของบรรดาคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
 
สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยมีดังนี้
  1. เริ่มจากกินกล้วยในมื้อเช้า  จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ และดื่มน้ำตามให้มากๆ
  2. มื้อกลางวันและมื้อเย็น จะกินอาหารประเภทไหนก็ได้ แต่ต้องห้ามทานของหวานหลังมื้ออาหารโดยเด็ดขาด และอย่ากินอาหารหลัง 2 ทุ่ม  ถ้าหากทำแล้วระหว่างวันรู้สึกหิว ให้เพิ่มอาหารว่างเบาๆตอนบ่าย 3
  3. นอนก่อนเที่ยงคืน
  4. ออกกำลังกายทุกวัน
     
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะลดความอ้วนด้วยวิธีใดก็ไม่สำคัญเท่ากับวินัยและความตั้งใจ หากคิดจะลดความอ้วนด้วยกล้วยแต่ก็ยังคงกินของหวาน ของมัน หรือกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง และไม่ออกกำลังกาย คุณก็ยังคงอ้วนอยู่ดี
 

21 พฤษภาคม 2556

กิมจิ อาหารลดความอ้วน สไตล์เกาหลี

ในอดีตนั้นอาหารพื้นบ้านของเกาหลีส่วนใหญ่จะเป็นผัก ปลา และอาหารทะเล เพราะเป็นผลมาจากการเป็นคาบสมุทรที่มีทะเลล้อมรอบถึงสามด้าน การบริโภคเนื้อสัตว์จึงมีไม่มากนัก แต่ปัจจุบันประเทศเกาหลีมีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จึงมีการนำเข้าเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งวัฒนธรรมการกินอาหารแบบดั้งเดิมที่จะประกอบไปด้วย ข้าว กิมจิ ซุปสาหร่าย ปลา ผักและผลไม้ตามฤดูกาลเป็นเครื่องเคียงประกอบอาหารจานหลัก
 
กิมจิ,kimchiสำหรับมือหนึ่งๆของคนเกาหลีนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กิมจิ ซึ่งเป็นผักดองที่มีรสเผ็ดจัดวางเคียงคู่ไปกับอาหารจานหลักที่จะต้องมีทุกมื้อ นั้นเพราะโดยพื้นฐานแล้ว คนเกาหลีนิยมกินผักเช่นเดียวกับคนไทย เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ จากสภาพภูมิอาหารของประเทศเกาหลี ทำให้ในอดีต "ข้าว" ซึ่งเป็นอาหารหลักที่ใช้ในการบริโภคมักมีไม่เพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ หากมื้อใดขาดข้าวหรือมีข้าวไม่เพียงพอ คนเกาหลีก็จะบริโภคกิมจิในปริมาณมากขึ้นเพื่อทดแทนข้าว นั่นเพราะกิมจิสามารถเก็บไว้บริโภคได้ตลอดทั้งปี
 
ส่วนผสมของกิมจิจะประกอบไปด้วยผัก ซึ่งผักที่ใช้ทำกิมจิตามสูตรโบราณคือ ผักกาดขาว ที่มักจะทำในฤดูหนาว ส่วนกิมจิชนิดอื่นๆก็จะใช้ผักแตกต่างกันไป เช่น หัวไชเท้า แครอท แตงกวา กะหล่ำปี ถั่วงอก เป็นต้น 
 
กิมจิกับคุณค่าทางอาหาร
คนเกาหลีมักจะมีคำพูดที่กล่าวกันทั่วไปว่า "กินกิมจิทุกวันสักนิด จะไม่ต้องคิดไปหาหมอ" นั่นหมายความว่า กิมจิมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเหลือล้น หากกินกิมจิทุกวันจะทำให้มีสุขภาพที่ดี และกากใยที่ได้จากการกินกิมจิ ยังช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย กิมจิจึงเป็นตัวช่วยลดความอ้วนที่ดีอีกตัวนึง อีกทั้งเมื่อเทียบคุณค่าทางอาหารระหว่าง แอปเปิ้ล และ กิมจิ จะพบว่า แอปเปิ้ล 1 ลูก ให้คุณค่าทางสารอาหารน้อยกว่ากิมจิ จนหนังสือ Health Magazine ได้ยกให้ กิมจิ เป็น1ใน5อาหารเพื่อสุขภาพของโลก
 
นอกจากนี้ เมื่อวัดเป็นปริมาณแคลอรี่ กิมจิ 1 ถ้วย จะมีแคลอรี่เพียง 33 แคลอรี่เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆเมื่อเทียบกับคุณค่าทางโภชนาการที่มหาศาล 
 
 
ภาพประกอบจาก : koreankimchichronicles
 

20 พฤษภาคม 2556

3 หลักลดความอ้วนง่ายๆ ที่เริ่มได้ด้วยตัวคุณตนเอง


diet,exerciseในปัจจุบันมีผู้คิดค้นวิธีการลดความอ้วนมากมายหลายวิธี เช่น กินยาลดความอ้วน อดอาหาร ควบคุมอาหาร และเล่นกีฬาแปลกๆ แต่การลดความอ้วนจะสำเร็จไม่ได้ หากเราไม่รู้จักวิธีที่จะชนะใจตนเอง
 
เชื่อได้ว่าทุกคนรู้หลักในการลดความอ้วนดีอยู่แล้ว คือ กินให้น้อยและออกกำลังกายให้มาก อาจฟังดูง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ผู้ที่ชนะใจตนเองเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในการลดความอ้วน เพราะทุกอย่างเริ่มที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ฉะนั้นต่อให้คุณรู้เคล็ดลับสุดยอดในการลดความอ้วนฉันใด แต่คุณไม่รู้เคล็ดลับชนะใจตนเองฉันนั้น คุณก็ไม่อาจลดความอ้วนได้สำเร็จ

โดยทั่วไปหลักของการลดความอ้วนด้วยตนเอง มี 3 ระยะปฎิบัติ คือ
 
1. ระยะแรกของการเริ่มต้น ควรควบคุมการรับประทานอาหารในแต่ละวันให้คงดี ควบคู่ไปกับการเริ่มทำกิจกรรมให้เกิดการใช้พลังงานในร่างกาย
 
อธิบายได้ว่า คุณควรกินอาหารตามปกติแต่ควบคุมไม่ให้มากเกินไปและรักษาระดับปริมาณการกินอาหารในแต่ละมื้อให้คงที่ และหมั่นออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่เสียเหงือและพลังงานบ้าง จากที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยก็เปลี่ยนมาเป็นเริ่มออกกำลังกายบ้างเล็กน้อย

2. ระยะเริ่มลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อและพยายามใช้พลังงานให้มากขึ้น
 
การลดความอ้วนไม่จำเป็นต้องอดอาหารเสมอไป คุณสามารถกินสิ่งที่คุณชอบได้ แต่อย่าลืมว่า "ยิ่งกินมากก็ยิ่งอ้วนมากนะ" หากคุณชอบกินของหวานเป็นประจำ แทนที่จะเลิกกินมันไปเลย ก็ปรับเปลี่ยนมากินให้น้อยลง เชื่อเถอะว่าการอดอาหารไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ๆ แต่ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่การออกกำลังกาย ไม่ว่าคุณจะกินมากหรือน้อยคุณควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ


3. ปรับเปลี่ยนเมนูอาหารที่รับประทานในแต่มื้อ โดยเน้นรับประทานผักและผลไม้แทนในบางมื้อ และออกกำลังกายทุกวันให้ได้วันละ 30 นาที - 1 ชั่วโมง
 
เมื่อร่างกายของคุณเริ่มชินกับการลดปริมาณความอยากอาหารแล้ว คุณจึงสามารถเปลี่ยนเมนูจานหนักมาสู่เมนูจานเบาๆ เช่น ผักหรือผลไม้แทนได้โดยที่คุณจะไม่รู้สึกหิวอีกต่อไป แต่อย่าลืมออกกำลังกายด้วยล่ะ
  
หลักของการลดความอ้วน 3 ประการนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนแต่อย่างไร เพราะต้องใช้ความพยายามเพื่อแลกกับสุขภาพและรูปร่างที่ดี แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณพยายามปฎิบัติจนเป็นนิสัยแล้ว ความอ้วน จะไม่มีวันกลับมาหาคุณอีกแน่นอน


19 พฤษภาคม 2556

เคล็ดลับลดความอ้วนของชาวญี่ปุ่น

ทำไมคนญี่ปุ่นมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าประเทศอื่นๆ และหญิงชาวญี่ปุ่นยังดูเด็กกว่าวัย ?
 
นาโอมิ โมริยาม่า (Naomi Moriyama) ผู้เขียนหนังสือ Japanese Women Don't Get Old Or Fat เปิดเผยว่า ชาวญี่ปุ่นคือชนชาติที่มีรูปร่างและสุขภาพที่ดีเป็นอันดับต้นๆของโลก เพราะชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ  ภายหลังที่เธอได้ค้นพบความลับของการปรุงอาหารสไตล์ญี่ปุ่นจากแม่ ทำให้รูปร่างของเธอเพรียวบาง น้ำหนักลดลง และหน้าตาดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

"ผู้หญิงญี่ปุ่นมีอายุขัยสูงสุดในโลก และมีปริมาณการเป็นโรคอ้วนต่ำที่สุดในโลกเช่นกัน สามีของฉันและฉันค้นพบความลับของสุขภาพและความงามที่อาจซ่อนอยู่ในต้นตำหรับอาหารญี่ปุ่น"

นาโอมิยืนยันว่าทุกคนสามารถเรียนรู้วิธีการทำอาหารญี่ปุ่นได้ที่บ้าน เช่นเดียวกับการลดน้ำหนักด้วยตนเอง

"เมื่อคนคิดถึงอาหารญี่ปุ่น พวกเขามักจะนึกถึงแต่ ซูชิ แต่แท้จริงแล้วอาหารญี่ปุ่นมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการปรุงอาหารสไตล์ตะวันตกอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเรียนรู้จนชำนาญแล้วละก็ มันก็ง่ายมากที่จะทำ และยังได้สุขภาพที่ดีอีกด้วย"


อาหารญี่ปุ่นขั้นตอนง่ายๆในการลดน้ำหนัก

1. สิ่งสำคัญอยู่ที่อาหาร
อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเป็นที่รู้กันว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดต่อสุขภาพ เพราะอาหารญี่ปุ่นมีความหลากหลายทางด้านโภชนาการ จากหนังสือของเธอที่พูดถึง "7 ความลับของการปรุงอาหารสไตล์ญี่ปุ่น" ที่กล่าวถึงความจริงที่ว่าอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย เต้าหู ผัก ปลา, ถั่วเหลือง, ข้าว, และผลไม้ และเปอร์เซ็นการบริโภคของแป้ง ไขมัน และเนื้อสัตว์ในประเทศญี่ปุ่นก็อยู่ในระดับต่ำ

"ปลามีไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสุขภาพ อีกทั้งเรายังรับประทานผักเป็นส่วนประกอบของอาหารจากหลัก"

รายการอาหารแต่ละครั้งจะถูกเสิร์ฟในถ้วยจานใบเล็กๆ "วิธีที่เราเสิร์ฟอาหาร คือการนำเสนอถึงความสวยงามของอาหาร แม่ของฉันบอกว่า การเตรียมอาหารก็เหมือนการวาดภาพ" นาโอมิกล่าว

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพอีกอย่างหนึ่งของอาหารญี่ปุ่น คือ กระบวนการปรุงอาหาร ที่มีอะไรมากกว่าการปรุ่งอาหารให้สุก เพราะชาวญี่ปุ่นจะค่อยๆใช้เทคนิคต่างๆในการทำ เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน

อาหารญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะไม่ใช้น้ำมัน ซึ่งแตกต่างจากอาหารจีนที่มักผัดกับน้ำมันที่อุณหภูมิสูง เมื่อเสิร์ฟอาหารทอด เช่น เทมปุระ ก็จะมีเพียงไม่กี่ชิ้น เพื่อให้เกิดความสมดุลโดยรวมกับคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น

ส่วนประกอบอาหารญี่ปุ่น 5 อย่าง ที่ไม่มีไขมันและไขมันต่ำ
  • หัวไชเท้าญี่ปุ่น (Daikon) หัวไชเท้ามีวิตามินซี โพแทสเซียม โฟเลต และแมคนีเซีมสูง สามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบและสุก ใช้ลดความมันของอาหารประเภทย่างและทอด ปกติจะนำหัวไชเท้าไปใส่ในซุปหรือใส่ในอาหารจานร้อนและทำเป็นไชเท้าดอง
  • สาหร่ายทะเลสีน้ำตาล (Kombu) สามารถสร้างคอลลาเจนได้เยอะมากเมื่อเทียบกับพืชทั่วไป สรรพคุณสำคัญของสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล คือ ช่วยปรับสมดุลแห่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมนุษย์  รวมทั้งให้ผลในการสลายไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักและลดสัดส่วนอย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากผลข้างเคียงและโยโย่เอฟเฟ็คต์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวจึงทำให้ผิวตึงกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและควบคุมแคลอรี่
  • แป้งที่ทำมาจากหัวบุก (Konnyaku) แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวก Glucomannan ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายย่อยสลายได้ยาก และดูดซึมได้ช้า จึงให้พลังงานและสารอาหารน้อย แต่เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดความอ้วน แป้งบุก Konnyaku ในอาหารญี่ปุ่น ได้แก่ เส้น Shirataki ที่ใส่ในสุกี้ยากี้ญี่ปุ่น
  • เจลาตินสกัดจากสาหร่ายทะเล (Kanten) มีทั้งในรูปแบบวั้นเส้นและผง แต่บ้านเราจะพบในรูปแบบวุ้นผงมากกว่า สมารถนำมาทำอาหารได้ทั้งอาหารคาวและหวาน แก้ปัญหาท้องผูก ลดไขมัน ช่วยให้น้ำหนักลดลง และช่วยลดคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดได้
  • เห็ดหอม (Shiitake) ช่วยบำรุงสุขภาพ และ เพิ่มพละกำลัง รวมถึงป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตันในสมองและกระตุ้น การไหลเวียนของระบบต่างๆด้วย ด้วยรสชาติที่มีกลิ่นจากเนื้อไม้และสรรพคุณต่างๆเหล่านี้ที่ส่งผลให้ เห็ดหอมกลายเป็นเห็ดที่ได้รับความนิยมในการบริโภคมากเป็นอันดับสองของโลก
 
2. การออกกำลังกาย
 


"ชาวญี่ปุ่นมักให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน พวกเขามักจะเดินแทนการขับรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะเหมือนทุกวันคุณได้ออกกำลังกายไปในตัว" นาโอมิกล่าว
 
สุขภาพและรูปร่างที่ดีของชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากประเพณี วัฒนธรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน รวมไปถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นมีสุขภาพดีและร่างกายที่แข็งแรงเป็นอันดับต้นๆของโลกนั่นเอง

 

10 ผักและผลไม้กินลดความอ้วน

1. Apple
แอปเปิ้ล ถือเป็นราชาของผลไม้ลดความอ้วน ในแอปเปิ้ลมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวง่ายต่อการดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายในไม่ถึง 10 นาที จึงช่วยลดความอยากอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ดี อีกทั้งกากใยจากเปลือกแอปเปิ้ลยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย การรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักนิยมรับประทานแทนอาหารมื้อเย็น แต่ทั้งนี้ต้องรับประทานทั้งเปลือกเพราะถ้าปลอกเปลือกออกสารสำคัญต่างๆก็จะลดน้อยลงไปด้วย
ผักสลัด Arugula (Rocket)
2. ผักสลัด Arugula (Rocket)
นิยมใส่ในสลัด ผัก Arugula อุดมไปด้วยวิตามิน A และ C และมีแคลอรี่ต่ำ รสขมของ Arugula ช่วยกระตุ้นตับสำหรับการไหลของน้ำดีและระบบการย่อยอาหาร

3. Asian greens
ผักประเภทนี้ได้แก่ ผักบุ้งจีน คะน้า กวางตุ้ง ฮ่องเต้ ไดโตเกียว ทาห์ไช่ และผักโขม

4. มะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่ายตามท้องตลาดแถมมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสรรพคุณ ในมะละกอสุกนั้นจะมีไขมันน้อยมากจนเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้และยังให้พลังงานไม่ถึงเกิน 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ดังนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ลดน้ำหนักอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมรับประทาน

5. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
นิยมใส่ในสลัด หรือนึ่ง เพื่อรับประทานร่วมกับผักอื่นๆและปลา หน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใยโฟเลต วิตามิน C, E, K, B6 และแร่ธาตุอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีซาโปนิน ที่เชื่อว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

6. อะโวคาโด้ (Avocado)
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด้จะช่วยเพื่อเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย ซึ่งหมายความว่า มันจะช่วยกำจัดไขมันที่ไม่จำเป็นในร่างกายของคุณออกไป

7. กล้วย (Banana)
กล้วยเป็นอาหารที่ให้พลังงานเป็นอย่างดี เนื่องจากกล้วยอุดมด้วยวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ช่วยลดอาการตัวบวม มีใยอาหารช่วยในเรื่องของปัญหาท้องผูก โดยเฉพาะกล้วยหอม หากรับประทานแทนอาหารมื้อเช้าจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง
 
ข้าวบาร์เลย์8. ข้าวบาร์เลย์
ข้าวบาร์เลย์จะช่วยลดคอเลสเตอรอลส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ จากการวิจัยของสวีเดนพบว่า หากคุณทานข้าวบาร์เลย์เป็นมื้อเช้าจะช่วยลดความอ้วนจากการทานอาหารมื้อต่อๆไปของวันได้ เพราะไฟเบอร์ชนิดละลายในน้ำที่มีอยู่มากในข้าวบาร์เลย์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยหลายชั่วโมง คุณเลยจะรู้สึกอิ่มนานกว่ารับประทานข้าวทั่วไป

9. ถั่ว
หรือพืชตระกูลถั่ว เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต ถั่วจะมีเส้นใยสูงและมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และต้านเชื้อราที่จะช่วยปกป้องเราจากโรค ใครที่เคยพยายามลดน้ำหนักโดยควบคุมปริมาณอาหารและปริมาณไขมัน จะทราบดีว่าการปฏิบัติเช่นนี้อาจทำได้ไม่นาน อาหารอาจขาดรสชาติหรือทำให้หิวบ่อย ถั่วมีทั้งไขมันที่ดีและเส้นใยอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงเป็นอาหารธรรมชาติที่เหมาะจะเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก

10. ผลเบอร์รี่
ผลเบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่และแบล็ก เป็นหนึ่งในผลไม้ ที่ดีที่สุดในการต่อต้านริ้วรอย มีเส้นใยสูง  และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแต่มีราคาแพง แบล็คเบอร์รี่ 1 ถ้วยเล็กๆสามารถให้ไฟเบอร์ถึง 10 กรัมเลยทีเดียว

18 พฤษภาคม 2556

5 ประเภทผลไม้ที่ควรกินระหว่างลดความอ้วน

ผลไม้ลดน้ำหนัก อย่างที่เรารู้กันดีว่า ผลไม้เป็นแหล่งของพลังงานและสารอาหารที่อุดมไปด้วยกากไย คุณสมบัติที่ว่านี้ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญพลังงาน และการขับถ่าย ดังนั้นผลไม้จึงมีส่วนช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วนได้เป็นอย่างดีโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกาย

หากแบ่งประเภทผลไม้ที่ช่วยลดความอ้วน สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทดังนี้

1. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ได้แก่ กล้วย, พลัม, แพร์, กีวี, สับปะรด, องุ่น, มะม่วง และมะเดื่อ ผลไม้ประเภทนี้ควรจะรับประทานเป็นอาหารเช้า

2. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ได้แก่ แตงโม, ลูกพีช, ลูกท้อ, แคนตาลูป, แอปเปิ้ล และมะละกอ ผลไม้เหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานที่จำเป็นสำหรับระบบหลอดเลือดหัวใจและประสาท อีกทั้งยังและมีปริมาณน้ำที่สูง จึงช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิในร่างกายและขับคอเลสเตอรอลที่ไม่มีประโยชน์ออกจากร่างกาย

3. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตน้อยที่สุด ได้แก่ ผลไม้ประเภทมะนาวและเบอร์รี่ ซึ่งหมายความรวมถึงราสเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี และสตรอเบอร์รี่ด้วย ผลไม้ประเภทนี้จะช่วยล้างพิษหรือสารที่ไม่สามารถย่อยได้ออกจากร่างกาย และที่สำคัญช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ปรับปรุงการย่อยอาหาร ลดความอยากอาหาร นำไปสู่​​การลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ

ผลไม้ลดน้ำหนัก 4. ผลไม้ที่มีปริมาณน้ำมากประเภท "แตง"   เช่น แตงโม แคนตาลูป และแตงไทย ผลไม้พวกนี้มีปริมาณน้ำมาก กากไยสูง แต่คาร์โบไฮเดรตต่ำ จึงมีประโยชน์อย่างมากต่อการย่อยอาหาร เพราะสามารถขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

5. ผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกดและพรุน ผลไม้เหล่านี้เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินและเกลือแร่ การรับประทานผลไม้แห้งและผลไม้สดจะช่วยการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ลดคอเลสเตอรอล ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยในการล้างพิษในลำไส้

Apple Cider Vinegar ตัวช่วยลดความอ้วน

Apple Cider Vinegar Apple Cider Vinegar คือ น้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมักผลแอปเปิล

ด้วยคุณสมบัติที่เป็นกรดสูง รสเปรี้ยวจัด เพราะมีส่วนประกอบของกรดแอซีติก 5% อีกทั้งยังมีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซี่ยมสูง ซึ่งธาตุโพแทสเซี่ยมนี่เองที่มีคุณสมบัติ ช่วยในการแบ่งเซลล์ ถ้าร่างกายขาดธาตุนี้ ร่างกายจะมีอาการผิดปกติคือ เติบโตช้า แก่เกินวัย ผมร่วง และหงอกเร็ว ฯลฯ

นอกจากนี้ Apple Cider Vinegar ยังประกอบด้วยธาตุอาหาร วิตามิน กรดอะมิโน และสารเพ็คติน ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย อาทิ

1. ช่วยในเรื่องผิวพรรณ ช่วยให้เป็นดูหนุ่มเป็นสาวอยู่เสมอ
2. ช่วยย่อยอาหาร คือลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
3. ช่วยระบบหายใจ แก้ไซนัส แก้เจ็บคอ แก้หวัด แก้การเกิดเสมหะ
4. ช่วยระบบการเผาผลาญ(Metabolism) และขับของเสียออกจากร่างกาย
5. ช่วยลดอาการการปวดตามข้อ
6. กำจัดรังแค แก้ผมแตกปลาย
7. ช่วยความจำให้ดีขึ้น
8. ป้องกันโลหิตจาง
9. ลดอาการอ่อนเพลีย

การรับประทาน Apple Cider Vinegar เพื่อลดน้ำหนัก
จากคุณสมบัติที่ช่วยเร่งระบบ metabolism ให้ทำงานได้ดี นี่จึงเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยลดความอ้วนแต่ทั้งนี้ต้องประทานแบบเจือจาง โดยผสมกับอุ่น น้ำผลไม้ หรือเป็นส่วนประกอบอาหาร เพราะ Apple Cider Vinegar เข้มข้นจะมีความเป็นกรดสูง ส่งผลให้ทำลายเคลือบฟัน และเนื้อเยื่อบริเวณปากและลำคอได้
วิธีรับประทาน Apple Cider Vinegar
1. Apple Cider Vinegar 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว ดื่มวันละ 1 - 2 แก้วเพื่อล้างสารพิษในร่างกาย (Detoxify) และลดความอยากอาหาร ทำให้กินอาหารได้น้อยลง น้ำหนักตัวจึงลดลงตาม
 
2. Apple Cider Vinegar ผสมกับน้ำน้ำผึ้ง ในสัดส่วน 1 : 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น ดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ หรือเฉพาะมื้อ

3. รับประทานโดยทำเป็นน้ำสลัด โดยใช้ Apple Cider Vinegar 5 ช้อนโต๊ะ  น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ  ซีอิ้วหมัก 2 ช้อนโต๊ะ  กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมส่วนผสมให้เข้ากันและราดบนสลัด

คำแนะนำ : สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรศึกษารายละเอียดก่อนรับประทาน