Apple Cider Vinegar สุดยอดตัวช่วยลดความอ้วน

Apple Cider Vinegar ประกอบไปด้วยธาตุอาหาร วิตามิน กรดอะมิโน และสารเพ็คติน ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย

ผลไม้ 5 ประเภท ที่ช่วยคุณลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี

ผลไม้ทั้ง 5 ประเภท มีส่วนช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยลดความอ้วนโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกาย

เคล็ดลับลดความอ้วนของชาวญี่ปุ่น

ทำไมคนญี่ปุ่นมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าประเทศอื่นๆ และหญิงชาวญี่ปุ่นยังดูเด็กกว่าวัย?

10 ผักและผลไม้ลดความอ้วน

ในโลกของเรามีผักและผลไม้มากมายหลายชนิดที่นิยมรับประทานระหว่างลดความอ้วน โดยเฉพาะผักและผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้...

3 หลักลดความอ้วน ที่คุณเริ่มได้ด้วยตนเอง

เชื่อได้ว่าทุกคนรู้หลักในการลดความอ้วนดีอยู่แล้ว คือ กินให้น้อยและออกกำลังกายให้มาก อาจฟังดูง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ผู้ที่ชนะใจตนเองเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในการลดความอ้วน เพราะทุกอย่างเริ่มที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ฉะนั้นต่อให้คุณรู้เคล็ดลับสุดยอดในการลดความอ้วนฉันใด แต่คุณไม่รู้เคล็ดลับชนะใจตนเองฉันนั้น คุณก็ไม่อาจลดความอ้วนได้สำเร็จ

16 มิถุนายน 2556

กินโยเกิร์ต ช่วยหน้าท้อง/ลดพุง

Yogurt, โยเกิร์ตการที่ผู้หญิงมีหน้าท้องกันส่วนใหญ่นั้น ต้องพิจารณาดูก่อนว่า แต่ละคนมีสาเหตุจากอะไร หากเกิดจากความอ้วน หน้าท้องจะยื่นตั้งแต่เหนือสะดือลงมาจนถึงท้องน้อย และส่วนอื่นๆของร่างกายก็จะใหญ่ตามไปด้วย แต่คนที่มีปัญหาหน้าท้องที่เกิดจากอาการท้องอืด คือ ท้องน้อยจะยื่นออกมานั้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ สามารถลดหน้าท้องได้ด้วยการรับประทานโยเกิร์ต

โยเกิร์ต (Yogurt) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งเกิดจากการหมักระหว่างนมและโปรไบโอติกส์ หรือแบคทีเรียชนิดดี ที่ยังมีชีวิต เมื่อเรากินเข้าไป แบคทีเรียเหล่านี้ก็จะไปสร้างความสมดุลให้จุลินทรีย์เจ้าถิ่นในลำไส้ ผลก็คือระบบขับถ่ายและสุขภาพโดยรวมของเราจะดีขึ้นนั่นเอง

ในโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ 1 ถ้วย มีแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีสารอาหารมากถึง 11 ชนิด ได้แก่ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามิน บี 12 ทริปโทฟาน โปตัสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี วิตามิน บี 5

จากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้หญิงที่กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแบคทีเรียทีมีอยู่ในอาหารประเภทโยเกิร์ต จะสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะแบคทีเรียซึ่งพบในอาหารจำพวกนี้จะช่วยสลายน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต ทำให้ร่างกายไม่สะสมพวกแป้งและน้ำตาลไว้ในรูปไขมัน ทำให้ร่างกายย่อยสลายและขับถ่ายมันออกมา ซึ่งช่วยได้ดีสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าท้องซึ่งเกิดจากอาการท้องอืด เพราะขับถ่ายไม่เป็นปกติ
 
สูตรการทานโยเกิร์ต ที่คนส่วนใหญ่นิยม
  1. โยเกิตรสธรรมชาติ ครึ่งถ้วย
  2. นมสด  1  แก้ว 
  3. น้ำผึ้ง   1 - 2   ช้อนโต๊ะ
  4. มะนาวครึ่งลูก
หมายเหตุ : สูตรนี้ไม่ตายตัว   คุณสามารถปรับส่วนผสมได้ตามรสชาติที่คุณชอบ

สูตรลดน้ำหนัก 3 - 6 กิโล ในสองอาทิตย์

หลายคนคงเคยพูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า "ฉันจะผอมให้ได้" แต่พออดหรือคุมอาหารได้สักพักก็ตบะแตกแล้วกลับมากินแหลกเหมือนเดิม ทำยังไง๊ ยังไง ก็ลดไม่ได้สักที มีแต่เพิ่มเอาๆ วันนี้เราจึงขอนำเสนอสูตรอาหารที่ช่วยคุณลดน้ำหนัก 3 - 6 กิโลกรัม ภายในเวลาสองอาทิตย์ โดยสูตรนี้สามารถใช้ได้ตลอด คุณจะกินแบบนี้ไปสักเดือนก็ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

สูตรลดน้ำหนักภายในสองอาทิตย์ที่ว่านี้ จะแบ่งเมนูอาหารเป็น  5 มื้ออาหาร โดยจะมีรายการอาหารที่ให้คุณรับประทานในแต่ละมื้อ ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่ทำให้อ้วนขึ้นแต่อย่างใด

 

มื้อเช้า
ตลอดช่วงเวลาที่คุณลดน้ำหนักนี้ ขอให้กินมื้อเช้าเป็นผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้ เพราะเป็นอาหารที่ย่อยได้ง่ายที่สุด ทั้งยังมีไฟเบอร์เยอะจึงช่วยให้คุณอิ่มนานและดีต่อการลดน้ำหนัก

มื้อสาย
การกินผักและผลไม้ในตอนเช้า อาจทำให้คุณรู้สึกหิวในช่วงสายๆ สุดท้ายก็จะทนไม่ได้ แล้วก็กินหนักในมื้อกลางวัน ดังนั้น พอสายๆ ให้คุณหาอะไรลองท้องอีกซักหน่อย โดยยังคงเป็นผักและผลไม้เช่นเดิม ในที่นี้ขอแนะนำให้คุณกิน "กล้วย" ซึ่งจะช่วยคลายความอยากอาหารลงได้และกล้วยยังเป็นผลไม้ลดน้ำหนักยอดนิยมอีกชนิดหนึ่ง

มื้อเที่ยง
ให้กินขนมปังโฮลวีทสักแผ่น หรือข้าวกล้อง กับรายการอาหารต่อไปนี้หนึ่งอย่าง และสลัดผักสักถ้วย
  1. เกาเหลาเนื้อ/ไก่/ลูกชิ้นหมู
  2. แกงเลียงกุ้งสด
  3. ต้มยำปลาน้ำใส
  4. แกงส้มปลา
  5. แกงจืดตำลึงเต้าหู้หมูสับ

มื้อบ่าย
การกินอะไรสักหน่อยทุก 2-3 ชั่วโมง นอกจากจะทำให้เราไม่รู้สึกหิวมากจนกินไม่หยุดในมื้อถัดไปแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการเผาผลาญตลอดทั้งวัน และลดน้ำหนักได้มากขึ้น แต่ช่วงบ่ายๆ อย่างนี้กินอะไรหนักท้องเกินไปก็ไม่ดี อาจจะเป็นขนมกินเล่นที่ไม่หวานซักถุงก็ได้

มื้อเย็น
หลัง 6 โมงเย็นเป็นต้นไป อย่าได้ยอมให้คาร์โบไฮเดรตทุกประเภทเข้าสู่ร่างกายคุณเป็นอันขาด เว้นเสียแต่หลังอาหารเย็น คุณจะออกกำลังกายอย่างหนัก ชนิดที่มั่นใจว่าเผาผลาญพลังงานที่คุณกินเข้าไปจนหมดเท่านั้น ถ้าต้องกินขอให้กินอาหารประเภทปลา เช่น ปลานึ่ง

เคล็ดลับลดน้ำหนัก
  1. ควรออกกำลังให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน ยิ่งถ้าออกกำลังตอนเช้า ไขมันของคุณจะถูกเผาผลาญได้ดี
  2. ดื่มน้ำเปล่าทุกสองถึงสามชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่เก็บสะสมไว้ได้ดียิ่งขึ้น

10 มิถุนายน 2556

มื้อเย็น กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

Diet มื้อเย็นการอดอาหาร คือ การลดน้ำหนักที่ผิดวิธี โดยเฉพาะการงดอาหารมื้อเย็น การลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพนั้น เราไม่ควรที่จะอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่ควรรับประทานแต่พอดี ไม่มากเกินไป ทีนี้เรามาดูความจำเป็นของอาหารเย็นที่มีต่อร่างกายกันดีกว่าว่ามีมากน้อยเพียงใด และเหตุใดมื้อเย็นจึงเป็นมื้อสำคัญที่ไม่ควรงดเด็ดขาด

เหตุผลอันดับแรกเลยก็คือ การอดอาหารมื้อเย็นนอกจากจะทำให้คุณหิวแล้ว ยังไม่ทำให้น้ำหนักลด แถมยังสร้างความกวนใจในยามค่ำคืนอีกต่างหาก เนื่องจากเมื่อถึงเวลาอาหาร ร่างกายจะหลั่งกรดออกมาเพื่อทำการย่อยอาหาร ดังนั้น เมื่อไม่มีอาหารในกระเพาะ น้ำย่อยก็จะมาย่อยกระเพาะแทน คนที่อดการหารเย็นจึงมีปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากความหิว บางคนอาจทนไม่ไหวจนลุกขึ้นมาหาอะไรกินกลางดึก ซึ่งแทนที่จะผอมลงแต่กลับอ้วนขึ้นมาอีกเป็นกอง เราจึงควรเลือกลดอาหารมากกว่าการอดอาหาร

วิธีการเลือกทานอาหารทำได้โดย เลือกทานอาหารเบา หรืออาหารที่ให้พลังงานน้อยที่สุด อย่างเช่น เน้นผักและผลไม้ และเวลาที่ควรทานคือหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม อย่าทานดึกกว่านี้ และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด ได้แก่ ของทอด ของมัน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ถ้าต้องทานควรทานในปริมาณเล็กน้อย และต้องคำนึงถึงสารอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่ด้วยนะคะ

สำหรับบางคนที่ต้องการเน้นกินผักหรือผลไม้ในมื้อเย็นเพื่อลดความอ้วนจะต้องไม่เลือกผลไม้ที่เป็นกรด เพราะขณะท้องว่างร่างกายจะมีกรดมากอยู่แล้ว และหลีกเลี่ยงการทานผักหรือผลไม้ดิบขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้ท้องอืดได้ แนะนำว่าให้ทานผักสุก เช่น การลวก การต้ม แกงจืด หรือยำที่รสชาติไม่จัดมาก เช่น ยำแตงกวา ยำวุ้นเส้น ส้มตำ ที่ไม่เผ็ดหรือ เปรี้ยวเกินไป

อย่าคิดว่าอาหารมื้อเย็นไม่สำคัญนะคะ ควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับการเลือกทานมื้อเย็นให้มาก แต่ต้องทานแค่พอเหมาะไม่ทานจุเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้วยังมีอีกหลายโรคตามมาจากการทานอาหารมื้อเย็นที่ ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ นอกจากนี้แล้วยังส่งผลถึงคุณภาพการนอนอีกด้วย เพราะการทนหิวระหว่างนอนไม่ใช่เรื่องดี

และคำแนะนำสุดท้าย หลังทานอาหารเย็นไม่ควรออกกำลังกายทันที เพราะถ้าเราทานอาหารภายในเวลา 1-2 ช.ม. แล้วไปออกกำลังกายทันที อาจทำให้เราเกิดอาการจุกได้ ถ้าเป็นไปได้ควรเดินเรื่อย ๆ ไม่ต้องเร่ง เพราะเวลาเราเดินลำไส้จะมีการขยับตัว อาหารก็จะย่อยง่ายและยังเป็นการใช้พลังงานไปในตัวอีกด้วย เป็นแนวทางที่ดีในการปฏิบัติจะได้ไม่อ้วน

09 มิถุนายน 2556

แก้วมังกร ผลไม้ลดความอ้วน

แก้วมังกรแก้วมังกร (Dragon Fruit) เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายหลายชนิด อาทิ แคโรทีน (Carotene) สารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่ช่วยในเรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติช่วยลดเซลลูไลท์ (Cellulite) ในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการลดความอ้วน
 
แก้วมังกรมี 2 ชนิดคือ พันธ์ทีมีเนื้อสีขาว และพันธ์ที่มีเนื้อสีแดง แต่สีแดงจะมีรสหวานกว่าสีขาว ปัจจุบันแก้วมังกร (Dragon Fruit) กลายเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้กินเพื่อลดความอ้วน นั้นก็เพราะ ในแก้วมังกรเป็นมีปริมาณกากใยสูง และมีสารอาหารหลายชนิด อาทิ แคโรทีน (Carotene) วิตามินซี คลอโรฟิลล์ สารต้านอนุมูลอิสระ  สารที่ช่วยในเรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เป็นต้น
 
แก้วมังกร 100 กรัม ให้พลังงาน 59 kcal และมีปริมาณน้ำสูงถึง 85.38% แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อการลดความอ้วนโดยตรงก็คือ เซลลูโลส (Cellulose) ในแก้วมังกร ที่สามารถช่วยลดความอยากอาหารลงได้ เพราะคุณจะรู้สึกอิ่มเมื่อรับประทาน นอกจากนั้นปริมาณกากใยที่มีมาก ยังช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารและการขับถ่ายของเสียในร่างกายอีกด้วย ฉะนั้นหากคุณสาวๆต้องการผลไม้กินระหว่างลดความอ้วน แก้วมังกร ก็ถือเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี
  
แก้วมังกรวิธีกินแก้วมังกร
ทำได้โดยผ่าครึ่งลอกเปลือกออก หรือจะนำไปทำเป็นเครื่อง ดื่ม ใส่สลัด เสิร์ฟคู่ไอศกรีม หรือขนมหวาน แต่การกินแก้วมังกรให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ต้องเคี้ยวเม็ดดำๆในแก้วมังกรให้ละเอียด เพราะเม็ดในแก้วมังกรเป็นที่รวมสารต้านอนุมูลอิสระเอาไว้สูงมาก รวมทั้งวิตามินอีด้วย ถ้าเราเคี้ยวเม็ดให้ละเอียดจะช่วยให้สารอาหารเหล่านี้แตกตัวได้เร็วขึ้น และร่างกายจะได้ดูดซึมไปใช้ได้มากขึ้นด้วย
 
วิธีทำ น้ำแก้วมังกรปั่น
1. นำแก้วมังกรที่แช่จนเย็นได้ที่แล้วมาผ่าครึ่งผลตามแนวยาว ลอกเปลือกออก และหั่นเนื้อแก้วมังกรเป็นชิ้นเล็กใส่เครื่องปั่น
2. ใส่น้ำส้มคั้น 1 ส่วน 4 ถ้วย, น้ำเชื่อม 1 ส่วน 4 ถ้วย และเกลือ 1 ส่วน 4 ช้อนชา ลงไป และปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนได้ที่ เทใส่แก้วพร้อมดื่มทันที

เครื่องดื่ม 6 ประเภทที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว


เครื่องที่ทำให้อ้วนในชีวิตประจำวัน นอกจากอาหารคาว หวานแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เครื่องดื่มประเภทต่างๆ นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเป็นคนที่อ้วนได้ง่ายๆแล้วละก็ เจ้าเครื่องดื่มตัวฉะกาจพวกนี้เนี่ยแหละที่อาจเป็นสาเหตุความอ้วนของคุณ ดังนั้น เราลองมาดูกันดีกว่าว่า มีเครื่องดื่มอะไรบ้างที่คุณมักดื่มมันเป็นประจำ จนทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว
 
1. เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม 
เครื่องดื่มประเภทนี้ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหารและยามว่าง ของใครหลายๆคน บางคนถึงกับติดน้ำอัดลมเลยทีเดียว แต่จะมีใครรู้ว่างว่า นอกจากปริมาณน้ำตาลที่มากแล้ว ในน้ำอัดลมยังมีปริมาณแคลลอลี่ถึง 120 แคลลอลี่ ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลย แล้วนี่ยังไม่นับกรดคาร์บอนิก สารกันบูด สารแต่งสี แต่งกลิ่นที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายด้วยนะ

2. ชาเย็น นมเย็น โอวัลตินเย็น ช็อกโกแลตเย็น
เครื่องดื่มพวกนี้ ก็จัดเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคนเช่นกัน แต่ถ้าคุณรู้ปริมาณแคลลอลี่ของมันแล้วละก็ คุณอาจจะเลิกชอบมันไปเลย เพราะพวกมันมีปริมาณแคลลอลี่เฉลี่ย 220 - 400 แคลลอลี่ จริงๆแล้วอะไรก็ตามที่มีรสหวานนั้นก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะด้วยน้ำตาล นมข้นหวาน หรืออื่นๆที่ใส่ลงไป ล้วนแต่ทำให้อ้วนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะกับชาที่ชงสดเท่านั้นนะ แต่ยังรวมไปถึงชาที่บรรจุขวดขายตาม 7-11 หรือห้างสรรพสินค้าด้วย

3. นมถั่วเหลือง
สำหรับนมถั่วเหลืองนี้คงมีสาวๆหลายคนที่ไม่คิดว่าจะมีปริมาณแคลลอลี่ที่มาก แต่ในนมถั่วเหลือง 1 แก้ว จะมีปริมาณแคลอลี่ 150 แคลลอลี่ ซึ่งหากดื่มมากๆ ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกัน

4. น้ำผลไม้ปั่น
หากคุณสาวๆ ที่คิดจะดื่มน้ำผลไม้เพื่อรักษาหุ่น ก็คงต้องทบทวนกันใหม่แล้วละค่ะ น้ำผลไม้อาทิ น้ำองุ่น น้ำส้ม น้ำสับปะรด เป็นสามน้ำยอดนิยมที่ให้พลังงานสูงมาก ยิ่งคุณเอามาผลไม้หลายๆอย่างมาปั่นรวมกัน ปริมาณแคลลอลี่ก็ยิ่งมากขึ้น หรือถ้าซื้อแบบที่เขาบรรจุขวดไม่มีเนื้อผลไม้ให้มาด้วย คุณก็จะได้แต่น้ำตาลจนแทบหาประโยชน์อะไรให้สุขภาพไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ว่า คุณจะควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละวันไปด้วย
 
5. กาแฟประเภทต่างๆ
จริงๆแล้วตัวกาแฟเองนั้นมีแคลอรี่ที่น้อยมาก ประมาณ 5 แคลอรี่/8ออนซ์ แต่ด้วยการปรุงแต่งหลายๆ ทั้งใส่น้ำตาล นม ครีม และอื่นๆ แล้ววันๆหนึ่งคุณดื่มไปกี่แก้วกัน? ถึงแม้จะวันละแก้วแต่ในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่เลยนะ

6. เครื่องดื่มชูกำลัง
เครื่องดื่มประเภทนี้ เป็นเครื่องดื่มเฉพาะกลุ่ม แต่ถ้าหากใครที่ดื่มเป็นประจำล่ะก็ โปรดรู้ไว้เภอะว่า เครื่องดื่มชูกำลังนั้นอัดแน่นไปด้วยน้ำตาลและคาเฟอีน จนมีแคลอรี่สูงถึง 110-300 แคลอรี่ และมีน้ำตาลถึง 27-55 กรัม (6-13 ช้อนชา) เลยแหละ
  
เห็นแบบนี้แล้ว คุณๆอาจเกิดคำถามว่า "แล้วนี่ชั้นจะดื่มอะไรได้บ้างเนี่ย?" คำตอบก็ง่ายแสนง่าย "น้ำเปล่าดีที่สุด" และถ้าดื่มน้ำเปล่าก่อนรับประทานอาหาร 45 นาที ยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วยนะ เพราะการดื่มน้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วยนั่นเอง

02 มิถุนายน 2556

"กินเพื่ออยู่ อย่าอยู่เพื่อกิน" คติเตือนใจของคนอยากผอม

การกินเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์จะต้องทำตั้งแต่เกิดจนตาย มันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งของมนุษย์ เพราะถ้าไม่กินก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามีอาหารส่วนเกินมากก็เกิดโรคได้อีกเช่นกัน โดยเฉพาะความอ้วน ดังนั้นคนเราจึงควรกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น คนส่วนใหญ่จะ "กินเพื่ออยู่" และหยุดกินเมื่ออิ่ม แต่บางคนก็ไม่ได้กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่แต่เพียงอย่างเดียว ยังต้องการหาความสุขในระหว่างการกินด้วย จุดมุ่งหมายของการกินจึงเปลี่ยนเป็น “อยู่เพื่อกิน” นั่นเอง
 
แต่ไม่ว่าคุณจะมีพฤติกรรมการกินแบบใด รูปร่างของคุณ คือส่วนสะท้อนพฤติกรรมเหล่านั้น ดังคำพูดที่ว่า "จะอ้วนจะผอมล้วนอยู่ที่ปาก" เพราะความจริงร่างกายมนุษย์ต้องการอาหารไม่มากนัก แค่กินอาหารให้พอดีกับร่างกาย ก็ได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว หากคุณกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายคุณก็ต้องมานั่งปวดใจกับตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก และยังต้องมานั่งหาวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านั้นออกไปอีก ดังนั้นก็จง "กินเพื่ออยู่" น่าจะดีกว่า แม้การบังคับใจตนเองจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
 
 
ภาพประกอบจากกินเตอร์เน็ต
 แต่ในปัจจุบันก็มีเทคนิกการกินหลายรูปแบบ ที่หลักการที่ว่า "กินอย่างไรไม่ให้อ้วน" เช่น วิธีการกินอาหารแบบ Reversal Diet  ซึ่งก็คือ การกินอาหารอย่างสมดุล โดยลดอาหารที่มีไขมันลง และเปลี่ยนมากินอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดตร และโปรตีนที่ได้จากพืชแทน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาเป็น "กินเพื่ออยู่" จึงมีความสำคัญกับคนที่มีความตั้งใจที่จะลดน้ำหนัก เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างหนึ่ง วิธีการหลีกเลี้ยงความอ้วนแบบง่ายๆมีดังนี้
  1. รับประทานผัก ผลไม้มากๆ
  2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอดๆ และติดมัน
  3. ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหาร
  4. ออกกำลังกายสำคัญสุดๆ
  5. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท
  6. อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น
  7. อย่ากินไป ดูทีวีไป
  8. ลดน้ำหวาน ชา , กาแฟ , ครีมเทียม
  9. อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยการไปกินนอกบ้าน
  10. อย่าอดอาหารเด็ดขาด
  11. แบ่งกินเป็นส่วนๆไม่ต้องกินให้หมด
  12. อย่ากินอะไรหลังมื้อเย็นอีก
  13. ดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนนะ
  14. อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ก่อนกินด้วยล่ะ
  15. อย่าลืมชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง

01 มิถุนายน 2556

3 ข้อปฎิบัติในการออกกำลังกายให้ถูกวิธี เพื่อการลดความอ้วนที่ได้ผล

1.เตรียมตัวออกกำลังกาย
ต้องวอมอัพร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง  อาจใช้วิธีเดิน บิดตัวไปมา หรือ ยื่นเส้นยืดสาย โดยปกติแล้วการวอมร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆได้มากขึ้น และเป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
 
2.เริ่มต้นออกกำลังกาย
คนที่เริ่มต้นออกกำลังกายควรใช้วิธีเดินไม่ควรวิ่ง  เนื่องจากการเดินจะทำให้คุณไม่เหนื่อยมาก  และไม่ปวดกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกาย การเดินเหมาะสำหรับคนอ้วน หรือคนที่พึ่งเริ่มออกกำลังกาย  ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังกายสำหรับคนที่ได้เริ่มออกกำลังกายมาซักพักแล้ว  เพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว และทำให้เหนื่อยมาก

ท่าออกกำลังกาย
 
 
เมื่อออกกำลังกายเป็นประจำไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว หากท่านต้องการเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายก็สามารถทำได้  โดยควรเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชอบและสะดวกที่สุด  ทั้งนี้ในการออกกำลังกายครั้งแรกๆไม่ควรที่จะหักโหมมากนัก  โดยสามารถสังเกตอาการขณะออกกำลังกายว่า คุณออกกำลังกายหักโหมไปหรือเปล่า โดยสังเกตจากอาการต่อไปนี้
  1. หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย
  2. หอบ หายใจไม่ทันจนพูดไม่เป็นประโยค
  3. เหนื่อยจนหน้ามืด อยากจะเป็นลม
หากมีอาการดังกล่าว  คุณหยุดการออกกำลังกายอย่างน้อย 1 - 2 วัน  และลดระดับการออกกำลังกายในครั้งต่อไปลง แต่ไม่ควรหยุดออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน เพราะการออกกำลังกายที่ดี ควรออกอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิก
 
3.หลังออกกำลังกาย
อย่าหยุดออกกำลังกายในทันที!!  เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดควรค่อยๆออกกำลังกายโดยผ่อนกำลังลงประมาณ 5 - 10 นาที  จนกระทั่งหัวใจเต้นช้าลงและเต้นเป็นปกติจึงหยุด หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำเพื่อทดน้ำในร่างกายสูญเสียไประหว่างออกกำลังกาย

เมื่อคุณออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
  • ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี  เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้มากขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันต่ำ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคข้อเสื่อม เป็นต้น
  • ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การทรงตัว และทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น
  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยลดความเครียด และทำให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น