Apple Cider Vinegar สุดยอดตัวช่วยลดความอ้วน

Apple Cider Vinegar ประกอบไปด้วยธาตุอาหาร วิตามิน กรดอะมิโน และสารเพ็คติน ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย

ผลไม้ 5 ประเภท ที่ช่วยคุณลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี

ผลไม้ทั้ง 5 ประเภท มีส่วนช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยลดความอ้วนโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกาย

เคล็ดลับลดความอ้วนของชาวญี่ปุ่น

ทำไมคนญี่ปุ่นมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าประเทศอื่นๆ และหญิงชาวญี่ปุ่นยังดูเด็กกว่าวัย?

10 ผักและผลไม้ลดความอ้วน

ในโลกของเรามีผักและผลไม้มากมายหลายชนิดที่นิยมรับประทานระหว่างลดความอ้วน โดยเฉพาะผักและผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้...

3 หลักลดความอ้วน ที่คุณเริ่มได้ด้วยตนเอง

เชื่อได้ว่าทุกคนรู้หลักในการลดความอ้วนดีอยู่แล้ว คือ กินให้น้อยและออกกำลังกายให้มาก อาจฟังดูง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ผู้ที่ชนะใจตนเองเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในการลดความอ้วน เพราะทุกอย่างเริ่มที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ฉะนั้นต่อให้คุณรู้เคล็ดลับสุดยอดในการลดความอ้วนฉันใด แต่คุณไม่รู้เคล็ดลับชนะใจตนเองฉันนั้น คุณก็ไม่อาจลดความอ้วนได้สำเร็จ

26 พฤษภาคม 2556

วิธีลดความอ้วนแบบพื้นบ้านด้วยการกิน "กล้วย" ตอนเช้า


ลดน้ำหนักด้วยกล้วย
กินกล้วยลดความอ้วน
ทำไม "กล้วย" จึงจัดเป็นผลไม้พื้นบ้าน? นั่นก็เพราะ "กล้วย" ถือเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดกับคนไทยมากที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้า นั่นเพราะทุกบ้านมักจะปลูกกล้วยน้ำว้าไว้กินเอง กล้วยน้ำว้าจึงเสมือนเป็นอาหารเสริมประจำที่ไม่ต้องซื้อหาแต่อย่างใด อีกทั้ง "กล้วย' ไม่ว่าจะชนิดใดล้วนมีคุณค่าทางโภชนาการทั้งสิ้น และเป็นผลไม้ที่ราคาไม่แพง

 
ในปัจจุบัน "กล้วย" กำลังเป็นผลไม้ลดน้ำหนักยอดนิยม โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่นิยมกินกล้วยเป็นอาหารเช้า จนมีการเขียนเป็นหนังสือ "Morning Banana Diet" นั่นเพราะกล้วยเป็นผลไม้แก้หิวที่กินแล้วอิ่มท้อง ช่วยการขับถ่าย และไม่ทำให้อ้วนขึ้นแต่อย่างใด
 
ในปี 2007 กระทรวงการคลังของญี่ปุ่นนำเข้ากล้วยน้ำว้าถึง 970,000 ตัน ส่วนใหญ่มาจากประเทศไต้หวันและประเทศฟิลิปปินส์ ในตอนนั้นราคากล้วยในประเทศญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20% นั่นเป็นผลมาจากการขาดแคลนกล้วย ที่กลายเป็นอาหารแฟชั่นของบรรดาคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
 
สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยมีดังนี้
  1. เริ่มจากกินกล้วยในมื้อเช้า  จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ และดื่มน้ำตามให้มากๆ
  2. มื้อกลางวันและมื้อเย็น จะกินอาหารประเภทไหนก็ได้ แต่ต้องห้ามทานของหวานหลังมื้ออาหารโดยเด็ดขาด และอย่ากินอาหารหลัง 2 ทุ่ม  ถ้าหากทำแล้วระหว่างวันรู้สึกหิว ให้เพิ่มอาหารว่างเบาๆตอนบ่าย 3
  3. นอนก่อนเที่ยงคืน
  4. ออกกำลังกายทุกวัน
     
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะลดความอ้วนด้วยวิธีใดก็ไม่สำคัญเท่ากับวินัยและความตั้งใจ หากคิดจะลดความอ้วนด้วยกล้วยแต่ก็ยังคงกินของหวาน ของมัน หรือกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง และไม่ออกกำลังกาย คุณก็ยังคงอ้วนอยู่ดี
 

21 พฤษภาคม 2556

กิมจิ อาหารลดความอ้วน สไตล์เกาหลี

ในอดีตนั้นอาหารพื้นบ้านของเกาหลีส่วนใหญ่จะเป็นผัก ปลา และอาหารทะเล เพราะเป็นผลมาจากการเป็นคาบสมุทรที่มีทะเลล้อมรอบถึงสามด้าน การบริโภคเนื้อสัตว์จึงมีไม่มากนัก แต่ปัจจุบันประเทศเกาหลีมีการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จึงมีการนำเข้าเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งวัฒนธรรมการกินอาหารแบบดั้งเดิมที่จะประกอบไปด้วย ข้าว กิมจิ ซุปสาหร่าย ปลา ผักและผลไม้ตามฤดูกาลเป็นเครื่องเคียงประกอบอาหารจานหลัก
 
กิมจิ,kimchiสำหรับมือหนึ่งๆของคนเกาหลีนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กิมจิ ซึ่งเป็นผักดองที่มีรสเผ็ดจัดวางเคียงคู่ไปกับอาหารจานหลักที่จะต้องมีทุกมื้อ นั้นเพราะโดยพื้นฐานแล้ว คนเกาหลีนิยมกินผักเช่นเดียวกับคนไทย เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ จากสภาพภูมิอาหารของประเทศเกาหลี ทำให้ในอดีต "ข้าว" ซึ่งเป็นอาหารหลักที่ใช้ในการบริโภคมักมีไม่เพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ หากมื้อใดขาดข้าวหรือมีข้าวไม่เพียงพอ คนเกาหลีก็จะบริโภคกิมจิในปริมาณมากขึ้นเพื่อทดแทนข้าว นั่นเพราะกิมจิสามารถเก็บไว้บริโภคได้ตลอดทั้งปี
 
ส่วนผสมของกิมจิจะประกอบไปด้วยผัก ซึ่งผักที่ใช้ทำกิมจิตามสูตรโบราณคือ ผักกาดขาว ที่มักจะทำในฤดูหนาว ส่วนกิมจิชนิดอื่นๆก็จะใช้ผักแตกต่างกันไป เช่น หัวไชเท้า แครอท แตงกวา กะหล่ำปี ถั่วงอก เป็นต้น 
 
กิมจิกับคุณค่าทางอาหาร
คนเกาหลีมักจะมีคำพูดที่กล่าวกันทั่วไปว่า "กินกิมจิทุกวันสักนิด จะไม่ต้องคิดไปหาหมอ" นั่นหมายความว่า กิมจิมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเหลือล้น หากกินกิมจิทุกวันจะทำให้มีสุขภาพที่ดี และกากใยที่ได้จากการกินกิมจิ ยังช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย กิมจิจึงเป็นตัวช่วยลดความอ้วนที่ดีอีกตัวนึง อีกทั้งเมื่อเทียบคุณค่าทางอาหารระหว่าง แอปเปิ้ล และ กิมจิ จะพบว่า แอปเปิ้ล 1 ลูก ให้คุณค่าทางสารอาหารน้อยกว่ากิมจิ จนหนังสือ Health Magazine ได้ยกให้ กิมจิ เป็น1ใน5อาหารเพื่อสุขภาพของโลก
 
นอกจากนี้ เมื่อวัดเป็นปริมาณแคลอรี่ กิมจิ 1 ถ้วย จะมีแคลอรี่เพียง 33 แคลอรี่เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆเมื่อเทียบกับคุณค่าทางโภชนาการที่มหาศาล 
 
 
ภาพประกอบจาก : koreankimchichronicles
 

20 พฤษภาคม 2556

3 หลักลดความอ้วนง่ายๆ ที่เริ่มได้ด้วยตัวคุณตนเอง


diet,exerciseในปัจจุบันมีผู้คิดค้นวิธีการลดความอ้วนมากมายหลายวิธี เช่น กินยาลดความอ้วน อดอาหาร ควบคุมอาหาร และเล่นกีฬาแปลกๆ แต่การลดความอ้วนจะสำเร็จไม่ได้ หากเราไม่รู้จักวิธีที่จะชนะใจตนเอง
 
เชื่อได้ว่าทุกคนรู้หลักในการลดความอ้วนดีอยู่แล้ว คือ กินให้น้อยและออกกำลังกายให้มาก อาจฟังดูง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ผู้ที่ชนะใจตนเองเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในการลดความอ้วน เพราะทุกอย่างเริ่มที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ฉะนั้นต่อให้คุณรู้เคล็ดลับสุดยอดในการลดความอ้วนฉันใด แต่คุณไม่รู้เคล็ดลับชนะใจตนเองฉันนั้น คุณก็ไม่อาจลดความอ้วนได้สำเร็จ

โดยทั่วไปหลักของการลดความอ้วนด้วยตนเอง มี 3 ระยะปฎิบัติ คือ
 
1. ระยะแรกของการเริ่มต้น ควรควบคุมการรับประทานอาหารในแต่ละวันให้คงดี ควบคู่ไปกับการเริ่มทำกิจกรรมให้เกิดการใช้พลังงานในร่างกาย
 
อธิบายได้ว่า คุณควรกินอาหารตามปกติแต่ควบคุมไม่ให้มากเกินไปและรักษาระดับปริมาณการกินอาหารในแต่ละมื้อให้คงที่ และหมั่นออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่เสียเหงือและพลังงานบ้าง จากที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยก็เปลี่ยนมาเป็นเริ่มออกกำลังกายบ้างเล็กน้อย

2. ระยะเริ่มลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อและพยายามใช้พลังงานให้มากขึ้น
 
การลดความอ้วนไม่จำเป็นต้องอดอาหารเสมอไป คุณสามารถกินสิ่งที่คุณชอบได้ แต่อย่าลืมว่า "ยิ่งกินมากก็ยิ่งอ้วนมากนะ" หากคุณชอบกินของหวานเป็นประจำ แทนที่จะเลิกกินมันไปเลย ก็ปรับเปลี่ยนมากินให้น้อยลง เชื่อเถอะว่าการอดอาหารไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ๆ แต่ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่การออกกำลังกาย ไม่ว่าคุณจะกินมากหรือน้อยคุณควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ


3. ปรับเปลี่ยนเมนูอาหารที่รับประทานในแต่มื้อ โดยเน้นรับประทานผักและผลไม้แทนในบางมื้อ และออกกำลังกายทุกวันให้ได้วันละ 30 นาที - 1 ชั่วโมง
 
เมื่อร่างกายของคุณเริ่มชินกับการลดปริมาณความอยากอาหารแล้ว คุณจึงสามารถเปลี่ยนเมนูจานหนักมาสู่เมนูจานเบาๆ เช่น ผักหรือผลไม้แทนได้โดยที่คุณจะไม่รู้สึกหิวอีกต่อไป แต่อย่าลืมออกกำลังกายด้วยล่ะ
  
หลักของการลดความอ้วน 3 ประการนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนแต่อย่างไร เพราะต้องใช้ความพยายามเพื่อแลกกับสุขภาพและรูปร่างที่ดี แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณพยายามปฎิบัติจนเป็นนิสัยแล้ว ความอ้วน จะไม่มีวันกลับมาหาคุณอีกแน่นอน


19 พฤษภาคม 2556

เคล็ดลับลดความอ้วนของชาวญี่ปุ่น

ทำไมคนญี่ปุ่นมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าประเทศอื่นๆ และหญิงชาวญี่ปุ่นยังดูเด็กกว่าวัย ?
 
นาโอมิ โมริยาม่า (Naomi Moriyama) ผู้เขียนหนังสือ Japanese Women Don't Get Old Or Fat เปิดเผยว่า ชาวญี่ปุ่นคือชนชาติที่มีรูปร่างและสุขภาพที่ดีเป็นอันดับต้นๆของโลก เพราะชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ  ภายหลังที่เธอได้ค้นพบความลับของการปรุงอาหารสไตล์ญี่ปุ่นจากแม่ ทำให้รูปร่างของเธอเพรียวบาง น้ำหนักลดลง และหน้าตาดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

"ผู้หญิงญี่ปุ่นมีอายุขัยสูงสุดในโลก และมีปริมาณการเป็นโรคอ้วนต่ำที่สุดในโลกเช่นกัน สามีของฉันและฉันค้นพบความลับของสุขภาพและความงามที่อาจซ่อนอยู่ในต้นตำหรับอาหารญี่ปุ่น"

นาโอมิยืนยันว่าทุกคนสามารถเรียนรู้วิธีการทำอาหารญี่ปุ่นได้ที่บ้าน เช่นเดียวกับการลดน้ำหนักด้วยตนเอง

"เมื่อคนคิดถึงอาหารญี่ปุ่น พวกเขามักจะนึกถึงแต่ ซูชิ แต่แท้จริงแล้วอาหารญี่ปุ่นมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการปรุงอาหารสไตล์ตะวันตกอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเรียนรู้จนชำนาญแล้วละก็ มันก็ง่ายมากที่จะทำ และยังได้สุขภาพที่ดีอีกด้วย"


อาหารญี่ปุ่นขั้นตอนง่ายๆในการลดน้ำหนัก

1. สิ่งสำคัญอยู่ที่อาหาร
อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเป็นที่รู้กันว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดต่อสุขภาพ เพราะอาหารญี่ปุ่นมีความหลากหลายทางด้านโภชนาการ จากหนังสือของเธอที่พูดถึง "7 ความลับของการปรุงอาหารสไตล์ญี่ปุ่น" ที่กล่าวถึงความจริงที่ว่าอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย เต้าหู ผัก ปลา, ถั่วเหลือง, ข้าว, และผลไม้ และเปอร์เซ็นการบริโภคของแป้ง ไขมัน และเนื้อสัตว์ในประเทศญี่ปุ่นก็อยู่ในระดับต่ำ

"ปลามีไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสุขภาพ อีกทั้งเรายังรับประทานผักเป็นส่วนประกอบของอาหารจากหลัก"

รายการอาหารแต่ละครั้งจะถูกเสิร์ฟในถ้วยจานใบเล็กๆ "วิธีที่เราเสิร์ฟอาหาร คือการนำเสนอถึงความสวยงามของอาหาร แม่ของฉันบอกว่า การเตรียมอาหารก็เหมือนการวาดภาพ" นาโอมิกล่าว

เคล็ดลับเพื่อสุขภาพอีกอย่างหนึ่งของอาหารญี่ปุ่น คือ กระบวนการปรุงอาหาร ที่มีอะไรมากกว่าการปรุ่งอาหารให้สุก เพราะชาวญี่ปุ่นจะค่อยๆใช้เทคนิคต่างๆในการทำ เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน

อาหารญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะไม่ใช้น้ำมัน ซึ่งแตกต่างจากอาหารจีนที่มักผัดกับน้ำมันที่อุณหภูมิสูง เมื่อเสิร์ฟอาหารทอด เช่น เทมปุระ ก็จะมีเพียงไม่กี่ชิ้น เพื่อให้เกิดความสมดุลโดยรวมกับคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น

ส่วนประกอบอาหารญี่ปุ่น 5 อย่าง ที่ไม่มีไขมันและไขมันต่ำ
  • หัวไชเท้าญี่ปุ่น (Daikon) หัวไชเท้ามีวิตามินซี โพแทสเซียม โฟเลต และแมคนีเซีมสูง สามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบและสุก ใช้ลดความมันของอาหารประเภทย่างและทอด ปกติจะนำหัวไชเท้าไปใส่ในซุปหรือใส่ในอาหารจานร้อนและทำเป็นไชเท้าดอง
  • สาหร่ายทะเลสีน้ำตาล (Kombu) สามารถสร้างคอลลาเจนได้เยอะมากเมื่อเทียบกับพืชทั่วไป สรรพคุณสำคัญของสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล คือ ช่วยปรับสมดุลแห่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมนุษย์  รวมทั้งให้ผลในการสลายไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักและลดสัดส่วนอย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากผลข้างเคียงและโยโย่เอฟเฟ็คต์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวจึงทำให้ผิวตึงกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและควบคุมแคลอรี่
  • แป้งที่ทำมาจากหัวบุก (Konnyaku) แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวก Glucomannan ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายย่อยสลายได้ยาก และดูดซึมได้ช้า จึงให้พลังงานและสารอาหารน้อย แต่เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดความอ้วน แป้งบุก Konnyaku ในอาหารญี่ปุ่น ได้แก่ เส้น Shirataki ที่ใส่ในสุกี้ยากี้ญี่ปุ่น
  • เจลาตินสกัดจากสาหร่ายทะเล (Kanten) มีทั้งในรูปแบบวั้นเส้นและผง แต่บ้านเราจะพบในรูปแบบวุ้นผงมากกว่า สมารถนำมาทำอาหารได้ทั้งอาหารคาวและหวาน แก้ปัญหาท้องผูก ลดไขมัน ช่วยให้น้ำหนักลดลง และช่วยลดคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดได้
  • เห็ดหอม (Shiitake) ช่วยบำรุงสุขภาพ และ เพิ่มพละกำลัง รวมถึงป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตันในสมองและกระตุ้น การไหลเวียนของระบบต่างๆด้วย ด้วยรสชาติที่มีกลิ่นจากเนื้อไม้และสรรพคุณต่างๆเหล่านี้ที่ส่งผลให้ เห็ดหอมกลายเป็นเห็ดที่ได้รับความนิยมในการบริโภคมากเป็นอันดับสองของโลก
 
2. การออกกำลังกาย
 


"ชาวญี่ปุ่นมักให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน พวกเขามักจะเดินแทนการขับรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะเหมือนทุกวันคุณได้ออกกำลังกายไปในตัว" นาโอมิกล่าว
 
สุขภาพและรูปร่างที่ดีของชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากประเพณี วัฒนธรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน รวมไปถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นมีสุขภาพดีและร่างกายที่แข็งแรงเป็นอันดับต้นๆของโลกนั่นเอง

 

10 ผักและผลไม้กินลดความอ้วน

1. Apple
แอปเปิ้ล ถือเป็นราชาของผลไม้ลดความอ้วน ในแอปเปิ้ลมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวง่ายต่อการดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายในไม่ถึง 10 นาที จึงช่วยลดความอยากอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ดี อีกทั้งกากใยจากเปลือกแอปเปิ้ลยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย การรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักนิยมรับประทานแทนอาหารมื้อเย็น แต่ทั้งนี้ต้องรับประทานทั้งเปลือกเพราะถ้าปลอกเปลือกออกสารสำคัญต่างๆก็จะลดน้อยลงไปด้วย
ผักสลัด Arugula (Rocket)
2. ผักสลัด Arugula (Rocket)
นิยมใส่ในสลัด ผัก Arugula อุดมไปด้วยวิตามิน A และ C และมีแคลอรี่ต่ำ รสขมของ Arugula ช่วยกระตุ้นตับสำหรับการไหลของน้ำดีและระบบการย่อยอาหาร

3. Asian greens
ผักประเภทนี้ได้แก่ ผักบุ้งจีน คะน้า กวางตุ้ง ฮ่องเต้ ไดโตเกียว ทาห์ไช่ และผักโขม

4. มะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่ายตามท้องตลาดแถมมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสรรพคุณ ในมะละกอสุกนั้นจะมีไขมันน้อยมากจนเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้และยังให้พลังงานไม่ถึงเกิน 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ดังนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ลดน้ำหนักอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมรับประทาน

5. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
นิยมใส่ในสลัด หรือนึ่ง เพื่อรับประทานร่วมกับผักอื่นๆและปลา หน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใยโฟเลต วิตามิน C, E, K, B6 และแร่ธาตุอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีซาโปนิน ที่เชื่อว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

6. อะโวคาโด้ (Avocado)
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด้จะช่วยเพื่อเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย ซึ่งหมายความว่า มันจะช่วยกำจัดไขมันที่ไม่จำเป็นในร่างกายของคุณออกไป

7. กล้วย (Banana)
กล้วยเป็นอาหารที่ให้พลังงานเป็นอย่างดี เนื่องจากกล้วยอุดมด้วยวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ช่วยลดอาการตัวบวม มีใยอาหารช่วยในเรื่องของปัญหาท้องผูก โดยเฉพาะกล้วยหอม หากรับประทานแทนอาหารมื้อเช้าจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง
 
ข้าวบาร์เลย์8. ข้าวบาร์เลย์
ข้าวบาร์เลย์จะช่วยลดคอเลสเตอรอลส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ จากการวิจัยของสวีเดนพบว่า หากคุณทานข้าวบาร์เลย์เป็นมื้อเช้าจะช่วยลดความอ้วนจากการทานอาหารมื้อต่อๆไปของวันได้ เพราะไฟเบอร์ชนิดละลายในน้ำที่มีอยู่มากในข้าวบาร์เลย์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยหลายชั่วโมง คุณเลยจะรู้สึกอิ่มนานกว่ารับประทานข้าวทั่วไป

9. ถั่ว
หรือพืชตระกูลถั่ว เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต ถั่วจะมีเส้นใยสูงและมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และต้านเชื้อราที่จะช่วยปกป้องเราจากโรค ใครที่เคยพยายามลดน้ำหนักโดยควบคุมปริมาณอาหารและปริมาณไขมัน จะทราบดีว่าการปฏิบัติเช่นนี้อาจทำได้ไม่นาน อาหารอาจขาดรสชาติหรือทำให้หิวบ่อย ถั่วมีทั้งไขมันที่ดีและเส้นใยอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงเป็นอาหารธรรมชาติที่เหมาะจะเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก

10. ผลเบอร์รี่
ผลเบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่และแบล็ก เป็นหนึ่งในผลไม้ ที่ดีที่สุดในการต่อต้านริ้วรอย มีเส้นใยสูง  และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแต่มีราคาแพง แบล็คเบอร์รี่ 1 ถ้วยเล็กๆสามารถให้ไฟเบอร์ถึง 10 กรัมเลยทีเดียว

18 พฤษภาคม 2556

5 ประเภทผลไม้ที่ควรกินระหว่างลดความอ้วน

ผลไม้ลดน้ำหนัก อย่างที่เรารู้กันดีว่า ผลไม้เป็นแหล่งของพลังงานและสารอาหารที่อุดมไปด้วยกากไย คุณสมบัติที่ว่านี้ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญพลังงาน และการขับถ่าย ดังนั้นผลไม้จึงมีส่วนช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วนได้เป็นอย่างดีโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกาย

หากแบ่งประเภทผลไม้ที่ช่วยลดความอ้วน สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทดังนี้

1. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ได้แก่ กล้วย, พลัม, แพร์, กีวี, สับปะรด, องุ่น, มะม่วง และมะเดื่อ ผลไม้ประเภทนี้ควรจะรับประทานเป็นอาหารเช้า

2. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ได้แก่ แตงโม, ลูกพีช, ลูกท้อ, แคนตาลูป, แอปเปิ้ล และมะละกอ ผลไม้เหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานที่จำเป็นสำหรับระบบหลอดเลือดหัวใจและประสาท อีกทั้งยังและมีปริมาณน้ำที่สูง จึงช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิในร่างกายและขับคอเลสเตอรอลที่ไม่มีประโยชน์ออกจากร่างกาย

3. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตน้อยที่สุด ได้แก่ ผลไม้ประเภทมะนาวและเบอร์รี่ ซึ่งหมายความรวมถึงราสเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี และสตรอเบอร์รี่ด้วย ผลไม้ประเภทนี้จะช่วยล้างพิษหรือสารที่ไม่สามารถย่อยได้ออกจากร่างกาย และที่สำคัญช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ปรับปรุงการย่อยอาหาร ลดความอยากอาหาร นำไปสู่​​การลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ

ผลไม้ลดน้ำหนัก 4. ผลไม้ที่มีปริมาณน้ำมากประเภท "แตง"   เช่น แตงโม แคนตาลูป และแตงไทย ผลไม้พวกนี้มีปริมาณน้ำมาก กากไยสูง แต่คาร์โบไฮเดรตต่ำ จึงมีประโยชน์อย่างมากต่อการย่อยอาหาร เพราะสามารถขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

5. ผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกดและพรุน ผลไม้เหล่านี้เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินและเกลือแร่ การรับประทานผลไม้แห้งและผลไม้สดจะช่วยการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ลดคอเลสเตอรอล ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยในการล้างพิษในลำไส้

Apple Cider Vinegar ตัวช่วยลดความอ้วน

Apple Cider Vinegar Apple Cider Vinegar คือ น้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมักผลแอปเปิล

ด้วยคุณสมบัติที่เป็นกรดสูง รสเปรี้ยวจัด เพราะมีส่วนประกอบของกรดแอซีติก 5% อีกทั้งยังมีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซี่ยมสูง ซึ่งธาตุโพแทสเซี่ยมนี่เองที่มีคุณสมบัติ ช่วยในการแบ่งเซลล์ ถ้าร่างกายขาดธาตุนี้ ร่างกายจะมีอาการผิดปกติคือ เติบโตช้า แก่เกินวัย ผมร่วง และหงอกเร็ว ฯลฯ

นอกจากนี้ Apple Cider Vinegar ยังประกอบด้วยธาตุอาหาร วิตามิน กรดอะมิโน และสารเพ็คติน ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย อาทิ

1. ช่วยในเรื่องผิวพรรณ ช่วยให้เป็นดูหนุ่มเป็นสาวอยู่เสมอ
2. ช่วยย่อยอาหาร คือลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
3. ช่วยระบบหายใจ แก้ไซนัส แก้เจ็บคอ แก้หวัด แก้การเกิดเสมหะ
4. ช่วยระบบการเผาผลาญ(Metabolism) และขับของเสียออกจากร่างกาย
5. ช่วยลดอาการการปวดตามข้อ
6. กำจัดรังแค แก้ผมแตกปลาย
7. ช่วยความจำให้ดีขึ้น
8. ป้องกันโลหิตจาง
9. ลดอาการอ่อนเพลีย

การรับประทาน Apple Cider Vinegar เพื่อลดน้ำหนัก
จากคุณสมบัติที่ช่วยเร่งระบบ metabolism ให้ทำงานได้ดี นี่จึงเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยลดความอ้วนแต่ทั้งนี้ต้องประทานแบบเจือจาง โดยผสมกับอุ่น น้ำผลไม้ หรือเป็นส่วนประกอบอาหาร เพราะ Apple Cider Vinegar เข้มข้นจะมีความเป็นกรดสูง ส่งผลให้ทำลายเคลือบฟัน และเนื้อเยื่อบริเวณปากและลำคอได้
วิธีรับประทาน Apple Cider Vinegar
1. Apple Cider Vinegar 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว ดื่มวันละ 1 - 2 แก้วเพื่อล้างสารพิษในร่างกาย (Detoxify) และลดความอยากอาหาร ทำให้กินอาหารได้น้อยลง น้ำหนักตัวจึงลดลงตาม
 
2. Apple Cider Vinegar ผสมกับน้ำน้ำผึ้ง ในสัดส่วน 1 : 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น ดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ หรือเฉพาะมื้อ

3. รับประทานโดยทำเป็นน้ำสลัด โดยใช้ Apple Cider Vinegar 5 ช้อนโต๊ะ  น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ  ซีอิ้วหมัก 2 ช้อนโต๊ะ  กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมส่วนผสมให้เข้ากันและราดบนสลัด

คำแนะนำ : สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรศึกษารายละเอียดก่อนรับประทาน